Sonntag, 22. April 2018

ธัมมปทปาฬิ-แปล ๑. ยมกวรรค


ธมฺมปทคาถา
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

. ยมกวคฺโค
คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑

.
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฏฺฐา มโนมยา;

มนสา เจ ปทุฏฺเฐน, ภาสติ วา กโรติ วา;

ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ, จกฺกํว วหโต ปทํฯ

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด
สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว
กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น
เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค
ตัวลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น. (:)

.
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฏฺฐา มโนมยา;

มนสา เจ ปสนฺเนน, ภาสติ วา กโรติ วา;
ตโต นํ สุขมนฺเวติ, ฉายาว อนุปายินีฯ

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด
สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตาม
ทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้นเพราะสุจริต ๓ อย่าง
เหมือนเงามีปรกติไปตาม ฉะนั้น. (:)


.
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;

เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติฯ

ก็ชนเหล่าใด เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้นด่าเรา
คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลัก
สิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่ระงับ. (:)

.
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ, อชินิ มํ อหาสิ เม;
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมติฯ

ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้น ด่าเรา
คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลัก
สิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมระงับ. (:)

.
น หิ เวเรน เวรานิ, สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ;

อเวเรน จ สมฺมนฺติ, เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ

ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย
แต่ย่อมระงับเพราะความไม่จองเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า. (:)

.
ปเร จ น วิชานนฺติ, มยเมตฺถ ยมามฺหเส;

เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ

ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้สึกว่า พวกเราย่อมยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้
ส่วนชนเหล่าใดในท่ามกลางสงฆ์นั้น ย่อมรู้สึก ความหมายมั่น
ย่อมระงับจากชนเหล่านั้น. (:)

.
สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ, อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ;

โภชนมฺหิ จามตฺตญฺญุํ, กุสีตํ หีนวีริยํ;

ตํ เว ปสหติ มาโร, วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํฯ

มารย่อมรังควาญบุคคลผู้มีปรกติเห็นอารมณ์ว่างาม
ผู้ไม่สำรวมแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลว เหมือนลมระรานต้นไม้ที่ทุรพล ฉะนั้น. (:)

.
อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ, อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ;

โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุํ, สทฺธํ อารทฺธวีริยํ;

ตํ เว นปฺปสหติ มาโร, วาโต เสลํว ปพฺพตํฯ

มารย่อมรังควาญไม่ได้ซึ่งบุคคลผู้มีปรกติเห็นอารมณ์ว่าไม่งามอยู่
สำรวมดีแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ มีศรัทธา
ปรารภความเพียร เหมือนลมระรานภูเขาหินไม่ได้ ฉะนั้น. (:)

.
อนิกฺกสาโว กาสาวํ, โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน, น โส กาสาวมรหติฯ

ผู้ใดยังไม่หมดกิเลสดุจน้ำฝาดปราศจากทมะและสัจจะ
จักนุ่งห่มผ้ากาสายะผู้นั้นไม่ควรเพื่อจะนุ่งห่มผ้ากาสายะ. (:)

๑๐.
โย จ วนฺตกสาวสฺส, สีเลสุ สุสมาหิโต;

อุเปโต ทมสจฺเจน, ส เว กาสาวมรหติฯ

ส่วนผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดอันคายแล้ว
ตั้งมั่นแล้วในศีลประกอบด้วยทมะและสัจจะ
ผู้นั้นแลย่อมควรเพื่อจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. (:๑๐)

๑๑.
อสาเร สารมติโน, สาเร จาสารทสฺสิโน;
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ, มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจราฯ

ชนเหล่าใดมีความรู้ในธรรมอันหาสาระมิได้ว่าเป็นสาระ
และมีปกติเห็นในธรรมอันเป็นสาระ ว่าไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น
มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่บรรลุธรรมอันเป็นสาระ. (:๑๑)

๑๒.
สารญฺจ สารโต ญตฺวา, อสารญฺจ อสารโต;

เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ, สมฺมาสงฺกปฺปโคจราฯ

ชนเหล่าใดรู้ธรรมอันเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และรู้ธรรม
อันหาสาระมิได้ โดยความเป็นธรรมอันหาสาระมิได้ ชนเหล่านั้น
มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมบรรลุธรรมอันเป็นสาระ. (:๑๒)

๑๓.
ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ, วุฏฺฐี สมติวิชฺฌติ;

เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ, ราโค สมติวิชฺฌติฯ

ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฉันใด
ราคะย่อมรั่วรดจิตที่บุคคลไม่อบรมแล้ว ฉันนั้น. (:๑๓)

๑๔.
ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ, วุฏฺฐี น สมติวิชฺฌติ;

เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ, ราโค น สมติวิชฺฌติฯ

ฝนย่อมไม่รั่วรดเรือนที่บุคคลมุงดี ฉันใด
ราคะย่อมไม่รั่วรดจิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว ฉันนั้น. (:๑๔)

๑๕.
อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ, ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ;
โส โสจติ โส วิหญฺญติ, ทิสฺวา กมฺมกิลิฏฺฐมตฺตโนฯ

บุคคลผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ย่อมเศร้าโศกใน
โลกหน้า ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง บุคคลผู้ทำบาปนั้น
ย่อมเศร้าโศก บุคคลผู้ทำบาปนั้นเห็นกรรมที่เศร้าหมอง
ของตนแล้ว ย่อมเดือดร้อน. (:๑๕)

๑๖.
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ, กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ;

โส โมทติ โส ปโมทติ, ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโนฯ

ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมบันเทิงในโลกนี้ ย่อมบันเทิงในโลกหน้า
ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง ผู้ทำบุญไว้แล้วนั้นย่อมบันเทิง
ผู้ทำบุญไว้แล้วนั้นเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรมของตนแล้ว
ย่อมบันเทิงอย่างยิ่ง. (:๑๖

๑๗.
อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ, ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ;

ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ, ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโตฯ

บุคคลผู้ทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า ย่อมเดือดร้อน
ในโลกทั้งสอง บุคคลผู้ทำบาปนั้นย่อมเดือด
ร้อนว่าบาปเราทำแล้ว บุคคลผู้ทำบาปนั้น
ไปสู่ทุคติแล้ว ย่อมเดือดร้อนโดยยิ่ง. (:๑๗)

๑๘.
อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ, กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ;
ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนฺทติ, ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโตฯ

ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้
ย่อมเพลิดเพลินในโลกหน้า ย่อมเพลิดเพลิน
ในโลกทั้งสอง ผู้ทำบุญไว้แล้วย่อมเพลิดเพลินว่า
บุญอันเราทำไว้แล้ว ผู้ทำบุญไว้แล้วนั้นไปสู่สุคติ
ย่อมเพลิดเพลินโดยยิ่ง. (:๑๘)

๑๙.
พหุมฺปิ เจ สหิตภาสมาโน; น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต;

โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ; น ภาควา สามญฺญสฺส โหติฯ

หากว่านรชนกล่าวคำอันมีประโยชน์แม้มาก
แต่เป็นผู้ไม่ทำกรรมอันการกบุคคลพึงกระทำ
เป็นผู้ประมาทแล้วไซร้ นรชนนั้นย่อมไม่เป็น
ผู้มีส่วนแห่งคุณเครื่องความเป็นสมณะ ประดุจ
นายโคบาลนับโคของชนเหล่าอื่น ย่อมไม่มี
ส่วนแห่งปัญจโครส ฉะนั้น. (:๑๙)

๒๐.
อปฺปมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน,
ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี;

ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ,
สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต;

อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา,
ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติฯ

ยมกวคฺโค ปฐโมฯ

หากว่านรชนกล่าวคำอันมีประโยชน์แม้น้อย
ย่อมประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ละราคะ โทสะ
และโมหะแล้ว รู้ทั่วโดยชอบ มีจิตหลุดพ้นด้วยดีแล้ว
ไม่ถือมั่นในโลกนี้หรือในโลกหน้า นรชนนั้นย่อมเป็น
ผู้มีส่วนแห่งคุณเครื่องความเป็นสมณะ. (:๒๐)

Keine Kommentare: