ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร
ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๕๐
------------------
๑. พระเสขะ
ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร
? ชื่อว่าพระอเสขะ
เพราะอะไร ?
ตอบ:
๑. ศึกษาสิกขา
๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา
๒. อธิจิตตสิกขา
๓. อธิปัญญาสิกขา
ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว
ฯ
๒. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ
คือเห็นอย่างไร ?
มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร
จงอธิบาย ?
ตอบ:
๒. เห็นว่าเที่ยง
คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว
ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป
หรือเคยเป็นอะไร
ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน
เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ
คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป
หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง
ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง
๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ
อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง
โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ
ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
ฯ
๓. ปาพจน์
๒ ได้แก่อะไรบ้าง ?
ถ้าแจกเป็น ๓
จะได้อะไรบ้าง ?
ตอบ:
๓. ได้แก่
พระธรรม และ พระวินัย ฯ
ถ้าแจกเป็น
๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร
๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ
๔. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ
?
ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร
?
ตอบ:
๔. กิเลสเหล่านี้
คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง
๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล
จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ
ฯ
๕. กรรมและทวาร
คืออะไร ?
อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง
จงอธิบาย ?
ตอบ:
๕. กรรม
คือ การกระทำ ส่วนทวาร คือ
ทางเกิดของกรรม ฯ
อภิชฌา
ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว
และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร
เป็นกายทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น
แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร
เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า
ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น
และเป็นมโนทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ
ฯ
๖. วิโมกข์
คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ?
ตอบ:
๖. คือ
ความพ้นจากกิเลส ฯ
มี
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
๗. พระอริยบุคคล
๔ ได้แก่ใครบ้าง ?
พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง
?
ตอบ:
๗. ได้แก่
พระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหันต์
ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้
๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส ฯ
๘. โยนิ
คืออะไร ? มีอะไรบ้าง
? เทวดา
และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน
?
ตอบ:
๘. คือ
กำเนิด ฯ
มี
ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ อัณฑชะ
เกิดในไข่
สังเสทชะ
เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ
เกิดผุดขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน
โอปปาติกะ ฯ
๙. เวทนา
๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง
? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร
?
ตอบ:
๙. เวทนา
๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ
คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา
๕ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์
โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา
๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ
ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข
และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา
๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ
ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์
และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา
๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์
ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง
ฯ
๑๐. ในกรรม
๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ
อุปปีฬกกรรม ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร
?
ตอบ:
๑๐. อุปัตถัมภกกรรม
ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม
ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม
ฯ
***********
CR. ภาพจาก : http://www.mahamodo.com/ |
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen