ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี
ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๕๐
------------------
๑. อภิสมาจาร
มีรูปเป็น ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต
อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ?
และปรับอาบัติอะไรได้บ้าง
?
ตอบ:
๑. อีกอย่างหนึ่งคือ
ข้อห้าม ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ
ฯ
๒. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร
จะผิดหรือไม่ อย่างไร ?
ตอบ:
๒. อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี
ในกรณีที่ไม่มีจีวร
เช่นจีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด
นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้
ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด
ต้องอาบัติทุกกฏ
แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่งห่มต้องอาบัติทุกกฏ
ฯ
๓. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง
คืออย่างไร ?
ตอบ:
๓. คือ
ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน
คือทิ้งก้างปลา กระดูก
เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลงในบาตร
ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร
จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร
ฉันแล้วให้ล้างบาตร
ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก
ให้ผึ่งแดดก่อน
ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก
ให้เช็ดจนหมดน้ำก่อนจึงผึ่ง
ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน
ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
๔. สัทธิวิหาริก
คือใคร ?
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง
?
ตอบ:
๔. คือ
ภิกษุผู้พึ่งพิง ในการอุปสมบท
ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์
ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูปนั้น
ฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้
คือ
๑.
เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒.
สงเคราะห์ด้วยบาตร
จีวร และบริขารอื่น ๆ
ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
๓.
ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้ว
แก่สัทธิวิหาริก
๔.
เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ
ทำการพยาบาล ฯ
๕. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว
มีเหตุให้ไปที่อื่น
คิดว่าจะกลับมาทันภายใน
วันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้
แต่มีเหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว
เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่ ?
เพราะเหตุใด
?
ตอบ:
๕. ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ
พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง
ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่
ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ
พรรษาขาด ฯ
๖. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น
มีบุพพกิจอะไรบ้าง ?
และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง
?
ตอบ:
๖. มีดังนี้
นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา
นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู
นับภิกษุ สั่งสอนนางภิกษุณี
ฯ
ในเรื่องที่ว่า
รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีก
แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร
แล้วสวด ปรับอาบัติถุลลัจจัย
ฯ
๗. ปวารณา
คืออะไร ?
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้
? และทำในวันไหน
?
ตอบ:
๗. คือ
การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้
ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสทำปวารณาแทนอุโบสถ
ฯ
ในวันขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม
๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯ
๘. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร
พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้
ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ?
ตอบ:
๘. เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง
ไม่ใช่ความรู้จริงจัง
ผู้บอกเป็นผู้ลวง
ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย
ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก
ไม่ให้เรียน ฯ
๙. ยาวกาลิก
กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร
?
ตอบ:
๙. ยาวกาลิก
คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร
บริโภคได้ชั่วคราว
คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน
ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม
ของขบเคี้ยว เป็นต้น
ส่วนยาวชีวิก
เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา
บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจำกัดเวลา
แต่เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้
ได้แก่ รากไม้ น้ำฝาด ใบไม้
ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น
ฯ
๑๐. อโคจร
คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ?
ตอบ:
๑๐. คือ
บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี
อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ
มีหญิงแพศยา
๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑
ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑
ร้านสุรา ๑ ฯ
***********
Cr. ภาพจาก : http://www.mahamodo.com/ |
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen