ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร
ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๕๐
-------------------
๑. สหคตทุกข์
คือทุกข์เช่นไร ?
มียศชื่อว่าเป็นทุกข์นั้น
มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ:
๑. คือ
ทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์กำกับกัน
ได้แก่ทุกข์มีเนื่องมาจาก
วิบุลผล ฯ
มียศคือได้รับตั้งเป็นใหญ่กว่าคนสามัญเป็นชั้น
ๆ ต้องเป็นอยู่เติบกว่าคนสามัญ
จำต้องมีทรัพย์มากเป็นกำลัง
มักหาได้ไม่พอใช้ ต้องมีภาระมาก
เวลาไม่เป็นของตน
เป็นที่เกาะของผู้อื่นจนนุงนัง
ต้องพลอยสุขทุกข์ด้วยเขา
ฯ
๒. ไวพจน์แห่งวิราคะ
ได้แก่อะไรบ้าง ?
ตอบ:
๒. ได้แก่
มทนิมฺมทโน
แปลว่า
ธรรมยังความเมาให้สร่าง
ปิปาสวินโย
แปลว่า ความนำเสียซึ่งความระหาย
อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า
ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
วฏฺฏูปจฺเฉโท
แปลว่า
ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ
ตณฺหกฺขโย แปลว่า
ความสิ้นแห่งตัณหา
นิโรโธ แปลว่า
ความดับ
นิพฺพานํ แปลว่า
ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้
ฯ
๓. วิมุตติ
เป็นโลกิยธรรมหรือโลกุตตรธรรม
? เป็นสาสวะหรืออนาสวะ
?
ตอบ:
๓. ถ้าเพ่งถึงวิมุตติที่สืบเนื่องมาจากนิพพิทาและวิราคะแล้ว
ก็เป็นโลกุตตระและอนาสวะอย่างเดียว
ถ้าเพ่งถึงวิมุตติ ๕
วิมุตติเป็นโลกิยะก็มี
เป็นสาสวะก็มี
คือตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติเป็นโลกิยะและเป็นสาสวะ
วิมุตติอีก ๓ ที่เหลือ
เป็นโลกุตตระและเป็นอนาสวะ
ฯ
๔. ในบรรดาสังขตธรรมนั้น
อะไรเป็นยอด ?
เพราะเหตุไร
?
ตอบ:
๔. อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอด
ฯ
เพราะองค์
๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฎฐังคิกมรรคก็เป็นธรรมดี
ๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘
ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก
และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ
ฯ
๕. บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า
ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย
ความสงบ
ได้แก่อะไร ?
อามิส ได้แก่อะไร
? เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าอามิส
?
ตอบ:
๕. ได้แก่
ความเรียบร้อยทางกายทางวาจาและทางใจ
ฯ
ได้แก่
ปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าชอบใจ
ฯ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก
ฯ
๖. เพราะเหตุไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชักนำให้บำเพ็ญสมาธิ
?
หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง
?
ตอบ:
๖. เพราะใจที่อบรมดีแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่
เป็นกำลังสำคัญในอันจะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุผลอันสุขุมลุ่มลึก
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีว่า
สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว
ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ
มี
กายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ
กสิณ จตุธาตุววัตถานะ ฯ
๗. จงจัด
นวหรคุณ แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ
?
ตอบ:
๗. บท
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต
โลกวิทู เป็นพระปัญญาคุณ
บท
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระกรุณาคุณ
บท
พุทฺโธ ภควา
เป็นพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณทั้งสอง
(สุคโต
ในที่บางแห่ง
จัดเป็นทั้งพระปัญญาคุณทั้งพระกรุณาคุณ)
ฯ
๘. อะไรเป็นลักษณะ
เป็นกิจ และเป็นผลของวิปัสสนา
?
ตอบ:
๘. สภาพความเป็นเองของสังขาร
คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา จริงอย่างไร
ความรู้ความเห็นว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แจ้งชัดจริงอย่างนั้น
เป็นลักษณะของวิปัสสนา
การกำจัดโมหะความมืดเสียให้สิ้นเชิง
ไม่หลงในสังขารว่าเป็นของเที่ยง
เป็นสุข เป็นตัวเป็นตน
เป็นของงาม เป็นกิจของวิปัสสนา
ความรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อันสืบเนื่องมาจากการกำจัดโมหะความมืดเสียได้สิ้นเชิง
ไม่มีความรู้ผิดความเห็นผิด
เป็นผลของวิปัสสนา ฯ
๙. ในอรกสูตร
ทรงแสดงอุปมาชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายไว้อย่างไรบ้าง
จงบอกมา ๓ ข้อ ?
ที่ทรงแสดงไว้เช่นนั้นเพื่ออะไร
?
ตอบ:
๙. ทรงแสดงไว้ดังนี้
คือ (ให้ตอบเพียง
๓ ข้อ) ๑.
เหมือนหยาดน้ำค้าง
๒. เหมือนต่อมน้ำ
๓. เหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ
๔. เหมือนลำธารอันไหลมาจากภูเขา
๕. เหมือนก้อนเขฬะ
๖. เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ
๗. เหมือนโคที่เขาจะฆ่า
ฯ
ทรงแสดงไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เร่งรีบทำความดีให้ทันกับเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ฯ
๑๐. ตามมหาสติปัฏฐานสูตร
ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด
๗ วันถึงตลอด ๗ ปี พึงหวังผลอะไรได้บ้าง
?
ตอบ:
๑๐. พึงหวังผล
๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ พระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้
๑ หรือเมื่อวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้ายึดไว้ยังเหลืออยู่
เป็นพระอนาคามี ๑ ฯ
***********
Cr. ภาพจาก : http://www.mahamodo.com/ |
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen