Dienstag, 19. März 2019

ปัญหาและเฉลย(วิชาวินัยบัญญัติ) นักธรรมชั้นตรี ปี 2545



ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๕


--------------------------------

. . พระวินัย คืออะไร ?
. สิกขา ๓ เมื่อศึกษาแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร ?
. . คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
. ย่อมได้ประโยชน์ดังนี้ ศึกษาเรื่องศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจาเรียบร้อย ศึกษา
เรื่องสมาธิทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ศึกษาเรื่องปัญญา ทำให้รอบรู้ในกอง
สังขาร ฯ


. . สิกขากับสิกขาบทต่างกันอย่างไร ?
. สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

. . สิกขา คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา
สิกขาบท คือพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทอันหนึ่งๆ ฯ
. มี ๒๒๗ ฯ
คือปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗
รวมเป็น ๒๒๗ ฯ


. . คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
) อาทิกัมมิกะ
) อเตกิจฉา
. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
. . ) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ฯ
) อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ฯ
. มี ๖ อย่าง คือ
. ต้องด้วยไม่ละอาย
. ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
. ต้องด้วยลืมสติ ฯ


. . คำว่า "ไถยจิต" หมายถึงอะไร ?
. ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?
. . หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ
. กำหนดไว้อย่างนี้
ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ


. . สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?
. การถือเอาทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้น กำหนดว่าถึงที่สุดไว้อย่างไร ?
. . สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มี
วิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็นต้น ฯ ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์
หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่
กับที่นั้นด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็นต้น ฯ
. สังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน ฯ
อสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ


. . ปาราชิก ๔ สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?
. สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบทไหนบ้างต้องอาบัติตั้งแต่แรกทำ ? มีชื่อเรียกอย่างไร ?
. . สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ
. สิกขาบทที่ ๑ ถึงที่ ๙ ฯ เรียกว่า ปฐมาปัตติกะ ฯ


. . ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกะเทย บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติ
อะไร ?
. อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติ
อะไร ?
. . จับต้อง กะเทย เป็นอาบัติถุลลัจจัย บุรุษ เป็นอาบัติทุกกฏ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้
เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ
. กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑ ไม่ได้ยิน ๑ ไม่ได้รังเกียจ ๑ ว่า
ภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องสังฆาทิเสส โจทด้วย
อาบัติสังฆาทิเสสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ต้องปาจิตตีย์
ในมุสาวาทสิกขาบท ฯ


. . ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
. จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ
อย่างไหนไม่ควร ? เพราะเหตุใด ?
. . ๖ ชนิด คือ
. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน
. ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ
. ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร
. ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด
. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าป่าน (สาณะ)
. ทำด้วยสัมภาระเจือกัน ฯ
. จีวร และอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม
ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ


. . ภิกษุพูดปดต้องอาบัตินั้นทราบแล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องจริง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
. ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร ?
. . ต้องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชั่วหยาบของ
ภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่
๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
. คืออาบัติทุกกฏที่เกิดจากการรับคำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ทำตามคำ
ที่รับปากไว้ ฯ



๑๐. ๑๐. การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
๑๐. เสขิยวัตรว่าด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ จงระบุมาเพียง ๒ ข้อ
๑๐. ๑๐. คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา
เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ
๑๐. (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ


ผู้ออกข้อสอบ
:
.
พระเทพสีมาภรณ์
วัดพระนารายณ์มหาราช จ.นครราชสีมา


.
พระราชปริยัติดิลก
วัดบพิตรพิมุข
ตรวจ/ปรับปรุง
:
โดยสนามหลวงแผนกธรรม


Keine Kommentare: