๑๘๐-๑๘๑. วัตรบทของสัตบุรุษ
มาตาเปตฺติภรํ ชนฺตุํ, กุเล เชฏฺฐาปจายินํ;
สณฺหํ สขิลสมฺภาสํ, เปสุเณยฺยปฺปหายินํฯ
มเจฺฉรวินเย ยุตฺตํ, สจฺจํ โกธาภิภุํ นรํ;
ตํ เว เทวา ตาวตึสา, อาหุ ‘‘สปฺปุริโส’’อิติฯ
„เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวถึงนรชน
ผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา,
มีปรกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล,
เจรจาอ่อนหวาน, กล่าวแต่คำสมานมิตรสหาย,
ละคำส่อเสียด, ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัด-
ความตระหนี่, มีวาจาสัตย์, ครอบงำความโกรธได้
นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ ดังนี้.“
(กวิทัปปณนีติ หมวดคนดี ๑๘๐-๑ นรทักขทีปนี ๒๑๘-๙, สํ. ส. ๑๕/๙๐๗, ๙๑๑)
..
ศัพท์น่ารู้ :
ก)
มาตาเปตฺติภรํ: (ผู้เลี้ยงมารดาและบิดา) มาตุ+ปิตุ+ภร > มาตาเปตฺติภร+อํ
ชนฺตุํ (สัวต์เกิด, คน) ชนฺตุ+อํ
กุเล: (ในตระกูล, สกุล) กุล+สฺมึ
เชฏฺฐาปจายินํ: (ผู้มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญ) เชฏฺฐ+อปจายิน > เชฏฺฐาปจายิน+อํ
สณฺหํ: (ผู้สุภาพ, อ่อนโยน) สณฺห+อํ
สขิลสมฺภาสํ: (ผู้เจรจาอ่อนหวาน, นุ่มนวล) สขิล+สมฺภาส > สขิลสมฺภาส+อํ
เปสุเณยฺยปฺปหายินํ: (ผู้ละวาจาส่อเสียด, ทำให้เจ็บใจ) เปสุเณยฺย+ปหายิน > เปสุเณยฺยปฺปหายิน+อํ
ข)
มจฺเฉรวินเย: (ในการกำจัดความตระหนี่) มจฺเฉร+วินย > มจฺเฉรวินย+สฺมึ
ยุตฺตํ: (ผู้ประกอบแล้ว) ยุตฺต+อํ
สจฺจํ: (ผู้มีความสัจ, กล่าวคำสัจ) สจฺจ+อํ
โกธาภิภุํ: (ผู้ครอบงำความโกรธ) โกธ+อภิภู > โกธาภิภู+อํ
นรํ: (นระ, นรชน, คน) นร+อํ
ตํ เว: (..นั้นแล) ต+อํ, ส่วน เว เป็นนิบาตบท
เทวา: (เทพ, เทวดา ท.) เทว+โย
ตาวตึสา: (ชั้นดาวดึงส์) ตาวตึส+โย
อาหุ: (ย่อมกล่าว, กล่าวแล้ว) พฺรู+อ+อนฺติ วัตตมานา. หรือ พฺรู+อุ ปโรกขา. ก็ได้ ภูวาทิ. กัตตุ.
สปฺปุริโส อิติ: (ว่า สัตบุรุษ ดังนี้) สปฺปุริส+สิ, ส่วน อิติ เป็นนิบาตบท
..
ข้อความบางตอนจากพระสูตร
วัตรบทของสัตบุรุษ ถ้ากล่าวให้ชัดก็คือ วัตรบท ๗ ประการของท้าวสักกะหรือพระอินทร์
ที่ปรากฏในปฐมเทวสูตรที่ ๑ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๑๗ ข้อ ๙๐๗, ๙๑๑ ว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นแล ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลายท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน
ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการ
จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ,
วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน? คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ เราพึง
ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลจนตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดวาจาอ่อนหวาน
ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑ เราพึงมีใจปราศจากความ
ตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑ เราพึง
พูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ๑ ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้น
แก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ".
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
"เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวถึงนรชน ผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา
มีปรกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน
กล่าวแต่คำสมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด
ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัดความตระหนี่
มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้ นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ ดังนี้"
..
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen