Samstag, 17. März 2012

ประวัติของพระพุทธัปปิยะ ผู้รจนาปทรูปสิทธิปกรณ์

 
ประวัติของพระพุทธัปปิยะ ผู้รจนาปทรูปสิทธิปกรณ์

พระพุทธัปปิยะ เป็นชาวแคว้นโจฬะแถบอินเดียใต้ จึงปรากฏนามว่า โจลิยพุทธัปปิยะ (พระพุทธัปปิยะชาวโจละ) ท่านเดินทางไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ ประเทศลังกา โดยฝากตัวเป็นศิษย์ขอพระอานันทเถระ แม้ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าท่านเกิดในสมัยใด แต่มีนักวิชาการได้สันนิษฐานจากที่กล่าวไว้ในนิคมคาถาว่าท่านเป็นศิษย์ของพระอานันทเถระผู้มีเกียรติศักดิ์ขจรขจายประดุจธชของลังกา พระอานันทเถระนั้นเป็นผู็แต่งคัมภีร์มูลฎีกา และได้มีชีวิตอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เพราะคำลงท้ายของคัมภีร์มูลฎีกาได้กล่าวถึงผู้อาราธนาให้แต่งคัมภีร์ชื่อพระธรรมมิตตะ ซึ่งน่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกับที่กล่าวถึงในคัมภีร์มหาวงศ​์ (มหาวงศ์ ปริจเฉทที่ ๕๔ คาถา ๓๕) ว่า
พระธรรมมิตตะพำนักอยู่ ณ วัดสิตถคามในรัชสมัยพระเจ้ามหินทะ ผู้ครองราชย์ระหว่างพุทธศักราช ๑๔๙๙-๑๕๑๙”
จึงพอสรุปว่า พระพุทธัปปิยะคงกำเนิดในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖
หนังสือ Dictionary of Pali Proper Nanes (Malalasekara, 1974 : 271) กล่าวว่า
พระอานันทะผู้แต่งมูลฎีกาเป็นชาวอินเดีย ท่านไปเรียนพระปริยัติธรรมแล้วพำนักอยู่ในลังกาเป็นเวลานาน ต่อมาเป็นเจ้าคณะปกครองภิกษุสงฆ์ฝ่ายวนวาสี คงมีชีวิตอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๘ หรือ ๙ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือ ๑๕)“
ท่านผู้แต่งปทรูปทสิทธิปกรณ์นี้มีลื่อเสียงเลื่องลือในแคว้นโจละ หรือโจลมณฑล (โกโรมันเดล) ซึ่งก็คือแคว้นทมิฬของอินเดียใต้ที่อยู่ถัดจากแคว้นอันธระ ตั้งแต่แคว้นมัทราสลงไปตามฝั่งชายทะเล และเป็นที่รู้จักในนามว่า พระทีปังกร ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสองแห่ง คือพาลาทิจจวิหาร (วัดตะวันหนุ่ม) และวัดจูฬามณิการาม ชื่อพาลาทิจจวิหาร พบในนิคมคาถาของปทรูปสิทธิปกรณ์โดยตรง ส่วนชื่อวัดจูฬามณิการามปรากฏในคำนำภาษาสิงหลของคัมภีร์ปัชชมธุ อย่างไรก็ดี ในคัมภีร์พยาขยาของสิงหลที่อธิบายนิคมคาถาของปทรูปสิทธิปกรณ์พบชื่อจูฑามณิกรรม ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ ณ เมืองนาคปัฏฏนะ ในอินเดียทางตอนใต้ ซึ่งกษัตริย์ชาวอินโดนิเซียผู้นับถือพระพุทธศาสนาพระนามว่า มารวิชโยตตุงควรรมัน เป็นผู้สร้างถวาย
ผลงานของท่านพระพุทธัปปิยที่รจนาเป็นภาษาบาลีอีกคัมภีร์หนึ่งคือ ปัชชมธุ แปลว่า “คาถานำ้ผึ้ง” คัมภีร์นี้กอปรด้วยคาถา ๑๐๔ บท กล่าวพรรณนาพระพุทธลักษณะตั้งแต่พระอุณาโลมเป็นต้นไปด้วยภาษาอันวิจิตรเพริศแพร้ว บริบูรณ์ด้วยอรรถรสทางวรรณคดีอย่างสูงส่ง และท่านได้แปลคัมภีร์นี้เป็นภาษาสิงหลไว้ด้วย ต่อมาพระเถระชาวพม่าชื่อว่า จักกปาละ อัครมหาบัณฑิต อดีตเจ้าอาวาสวัดต่องปอก (วัดเชิงเขา) ในจังหวัดมองลำไย ได้ปริวรรตและแปลคัมภีร์ปัชชมธุเป็นภาษาพม่าในพุทธศักราช ๒๔๙๓ ปัจจุบันคัมภีร์นี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยอย่างสละสลวยโดยอาจารย์จำรูญ ธรรมดา ซึ่งจัดพิมพ์ในพุทธศักราช ๒๕๔๓ และโดยพระคันธสาราภิวงศ์ในพุทธศักราช ๒๕๕๐ ในที่นี้จะขอนำเสนอข้อความจากคัมภีร์ปัชชมธุพร้อมทั้งคำแปลในคาถาแรก ดังต่อไปนี้

อุณฺณาปปุณฺณสสิมณฺฑลโต คลิตฺวา
ปาทมฺพุชงฺคุลิทลฏฺฐสุธาลวานํ
ปนฺตีว สตฺถุ นขปนฺติ ปชา วิเสสํ
ปีเณตุ สุทฺธสุขิตํ มนตุณฺฑปีตา. (ปชฺชมธุ. คาถา ๑)

ขออมฤตธาราที่ไหลหลั่งจากมณฑลแห่งสมบูรณจันทร์คือพระอุณาโลม
สถิตในกลีบคือพระองคุลี ณ บัวบาทของพระศาสดา งามดั่งแถวพระนขา
โปรดยังปวงประชาผู้ดูดดื่มด้วยจะงอยคือใจ ให้เอิบอิ่มเป็นสุขลำ้พรรณนา”

สำหรับช่วงสมัยที่พระพุทธัปปิยะมีชีวิตอยู่นั้น มีอีกมติหนึ่งที่กล่าวแตกต่างไปจากข้างต้นโดยอ้างอิงคำนำภาษาสิงหลของคัมภีร์ปัชชมธุ เขียนโดยพระสิงหลชื่อเทวมิตตะที่กล่าวว่า
พระพุทธัปปิยะผู้แต่งคัมภีร์ปัชชมธุเป็นเจ้าอาวาสวัดทักขิณาราม ซึ่งพระเจ้าสิริสังฆปรากรมพาหุผู้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติในพุทธศักราช ๑๗๐๓ เป็นผู้สร้างถวาย”
ซึ่งคำกล่าวนี้สอดคล้องกับข้อความในคัมภีร์สารสังคหะซึ่งแต่งโดยพระสิทธัตถะศิษย์รูปสุดท้ายของพระพุทธัปปิยะว่า

ทกฺขิณารามปติโน ปิฏกตฺตยธาริโน
พุทฺธปฺปิยวฺหเถรสฺส โย สิสฺสานนฺติโม ยติ.
เตน สิทฺธตฺถนาเมน ธีมตา สุจิวุตฺตินา
เถเรน ลิขิโต เอโส วิจิตฺโต สารสงฺคโห. (สารสงฺคห. หน้า ๓๒๓-๒๔)

ภิกษุใดเป็นศิษย์รูปสุดท้ายของท่านพระเถระชื่อว่า พุทธัปปิยะ
ผู้ทรงพระไตรปิฎก ปกครองวัดทักขิณาราม ภิกษุนั้นผู้เป็นพระเถระ
นามว่า สิทธัตถะ ผู้มีปัญญา มีความประพฤติอันหมดจดได้รจนา
คัมภีร์สารสังคหะอันวิจิตรนี้ไว้”

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าพระพุทธัปปิยที่กล่าวถึงนี้คงเป็นภิกษุอีกรูปหนึ่งที่มีฉายาเดียวกัน เพราะชื่อวัดทักขิณารามไม่ปรากฎในตอนท้ายของปทรูปสิทธิปกรณ์ที่กล่าวถึงผู้แต่ง และช่วงเวลาที่อ้างก็ห่างจากช่วงระยะที่พระอานันทะผู้แต่งคัมภีร์มูลฎีกามีชีวิตอยู่ถึง ๒๐๐ ปี ทั้งผู้แต่งคัมภีร์สารสังคหะก็มิได้กล่าวบทขยายที่ชัดว่า ปทรูปสิทฺธการิโน (เป็นผู้แต่งปทรูปสิทธิปกรณ์) เพียงแต่กล่าวว่าโดยสามัญว่า ปิฏกตฺตยธาริโน (ผู้ทรงพระไตรปิฎก) ดังนั้นพระสิทธัตถะจึงควรเป็นศิษย์ของพระสิงหลอีกรูปหนึ่งที่มีฉายาเหมือนกัน
หลักฐานที่กล่าวถึงประวัติของพระพุทธัปปิยะ ปรากฏโดยย่อในนิคมคาถาของปทรูปสิทธิปกรณ์และคัมภีร์ปัชชมธุตามลำดับ ดังข้อความต่อไปนี้

วิขฺยาตานนฺทเถรวฺหยวรคุรุนํ ตมฺพปณฺณิทฺธชานํ
สิสฺโส ทีปงฺกราขฺยาทฺทมิฬวสุมตีทีปลทฺธปฺปกาโส
พาลาทิจฺจาทิวาสทฺวิตยมธิวสํ สาสนํ โชตยี โย
โสยํ พุทฺธปฺปิยวฺโห ยติ อิมมุชุกํ รูปสิทฺธึ อกาสิ. (ปทรูปสิทฺธิ. หน้า ๕๐๐)

ภิกษุนามว่า พุทธัปปิยะ เป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้ประเสริฐนามว่า
อานันทเถระ ผู้มีชื่อเสียง ผู้เป็นธงของเกาะลังกา พระภิกษุนั้นเป็น
ผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับแล้วดุจประทีปในแผ่นดินทมิฬด้วยนามว่า ทีปังกร
ครองอาวาส ๒ แห่งมีพาลาทิจจวิหารเป็นต้น ผู้ยังพระศาสนาให้รุ่งเรือง
ได้รจนาคัมภีร์ปทรูปสิทธิอันตรงประเด็นนี้สำเร็จแล้ว”

อานนฺทรญฺญรตนาทิมหายตินฺท-
นิจฺจป​ฺปพุทฺธปทุมปฺปิยเสวตงฺคี
พุทฺธปฺปิเยน ฆนพุทฺธคุณปฺปิเยน
เถราลินา รจิตปชฺชมธุํ ปิพนฺตุ. (ปชฺชมธุ. คาถา ๑๐๓)

ขอมวลชนจงดูดดื่มคาถาน้ำผึ้ง ซึ่งรังสรรค์ไว้โดยภมร
คือ พระเถระชื่อ พุทธัปปิยะ ผู้เคารพในพระพุทธคุณยิ่งนัก ผู้ซ่องเสพ
ปทุมชาติอันงามบานสะพรั่งเสมอคือพระอานันทวนรัตน์มหาเถระ”
(คำว่า วนรัตน์ คงจะเป็นสมณศักดิ์ของเจ้าคณะฝ่ายวนวาสี)

ส่วนในปทรูปสิทธิปกรณ์ฉบับสิงหล พร้อมทั้งคัมภีร์แปลภาษาสิงหลที่เรียกว่า อัตถพยาขยา (เรียกสั้นๆ ว่า คัมภีร์พยาขยา) มีคาถาลงท้าย ๒ บทซึ่งไม่พบในฉบับฉัฏฐสังคายนาดังนี้ว่า

สาติเรกสตฺตรส- ภาณวาเรหิ คนฺถโต
นิฏฺฐิตา รูปสิทฺธีติ ปทสํสิทฺธิสาธินี.
สทา สทฺธาสีลี สติธิติมตี จาคปฏุมา
กตญฺญู โลกญฺญู ปรหิตรโต ฌานนิรโต
อกมฺปี สมฺภาเร ทุรภิภวสํสารคหเน
ภเวยฺยาหํ สมฺโพธิสมธิคมํ ยาว ภวติ. (ปทรูปสิทฺธิ. หน้า ๕๐๐)

ปกรณ์ชื่อว่า รูปสิทธิ ที่แสดงความสำเร็จแห่งบท จบแล้วด้วย
ภาณวาร ๑๗ กว่าโดยคัมภีร์ ( ๑ ภาณวาร = ๒๕๐ คาถา หรือ ๘,๐๐๐ พยางค์)
ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ศรัทธา ทรงศีล เพียบพร้อมด้วยสติ สมาธิ และปัญญา
เป็นผู้ฉลาดในทาน รู้คุณ รู้โลก ยินดีในการเกื้อกูลผู้อื่น และรื่นรมย์ในฌาน
พึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในโพธิสมภารตราบจนกระทั้งบรรลุสัมโพธิญาณในชัฏ
คือสงสารที่ข้ามพ้นโดยยาก”

ข้อความข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพระพุทธัปปิยะเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูลผู้บำเพ็ญบารมีโพธิสามภารเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณโปรดเวไนยชนในกาลภายหน้่า แม้ในนิคมคาถาของคัมภีร์ปัชชมธุก็มีข้อความที่คล้ายคลึงกันนี้ว่า

อิตฺถํ รูปคุณานุกิตฺตนวสา ตํตํหิตาสึสโต
วตฺถานุสฺสติ วตฺติตา อิห ยถา สตฺเตสุ เมตฺตา จ เม
เอวนฺตา หิ ภวนฺตรุตฺตรตรา วตฺตนฺตุ อาโพธิ เม
สํโยโค จ ธเนหิ สตฺตหิ ภเว กลฺยาณมตฺเตหิ จ. (ปชฺชมธุ. คาถา ๑๐๔)

โดยประการดังนี้ ข้าพเจ้าผู้หวังประโยชน์เกื้อกูลนั้นๆ ได้เจริญอนุสสติ
รำลึกถึงคุณพระไตรรัตน์ และแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ในภพนี้ โดยประการใด
การรำลึกถึงคุณของพระไตรรัตน์และการแผ่เมตตานั้นจงเพิ่มพูนยิ่งในภพต่อไปจวบจนข้าพเจ้าบรรลุสัมโพธิญาณ โดยประการนั้น ทั้งความเพียบพร้อมด้วยอริยทรัพย์ ๗ และกัลยาณมิตรจงมีแก่ข้าพเจ้าเทอญ”

(จากหนังสือปทรูปสิทธิมัญชรี เล่ม ๒ สมาส หน้า ๑๑-๑๕ รจนาโดยพระคันธสาราภิวงศ์ วัดท่ามะโอ อ. เมือง จ. ลำปาง www.wattamaoh.com )

Keine Kommentare: