๑๐.
ทณฺฑวคฺโค
คาถาธรรมบท
ทัณฑวรรคที่ ๑๐
๑๒๙.
สพฺเพ
ตสนฺติ ทณฺฑสฺส,
สพฺเพ
ภายนฺติ มจฺจุโน;
อตฺตานํ
อุปมํ กตฺวา,
น
หเนยฺย น ฆาตเยฯ
ภิกษุทำตนให้เป็นอุปมาว่า
สัตว์ทั้งปวงย่อม
สะดุ้งต่ออาชญาสัตว์ทั้งปวงย่อมกลัวต่อความตาย
แล้วไม่พึงฆ่าเอง
ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
(๑๐:๑)
๑๓๐.
สพฺเพ
ตสนฺติ ทณฺฑสฺส,
สพฺเพสํ
ชีวิตํ ปิยํ;
อตฺตานํ
อุปมํ กตฺวา,
น
หเนยฺย น ฆาตเยฯ
ภิกษุทำตนให้เป็นอุปมาว่า
สัตว์ทั้งปวงย่อม
สะดุ้งต่ออาชญา
ชีวิตเป็นที่รักของสัตว์ทั้งปวง
แล้วไม่พึงฆ่าเอง
ไม่พึงใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
(๑๐:๒)
๑๓๑.
สุขกามานิ
ภูตานิ,
โย
ทณฺเฑน วิหึสติ;
อตฺตโน
สุขเมสาโน,
เปจฺจ
โส น ลภเต สุขํฯ
ผู้ใดแสวงหาความสุขเพื่อตน
ย่อมเบียดเบียน
สัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุขด้วยอาชญา
ผู้นั้นย่อมไม่ได้ความสุขในโลกหน้า.
(๑๐:๓)
๑๓๒.
สุขกามานิ
ภูตานิ,
โย
ทณฺเฑน น หึสติ;
อตฺตโน
สุขเมสาโน,
เปจฺจ
โส ลภเต สุขํฯ
ผู้ใดแสวงหาความสุขเพื่อตน
ย่อมไม่เบียดเบียน
สัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุข
ด้วยอาชญา
ผู้นั้นย่อมได้ความสุขในโลกหน้า.
(๑๐:๔)
๑๓๓.
มาโวจ
ผรุสํ กญฺจิ,
วุตฺตา
ปฏิวเทยฺยุ ตํ;
ทุกฺขา
หิ สารมฺภกถา,
ปฏิทณฺฑา
ผุเสยฺยุ ตํฯ
ท่านอย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ
ผู้ที่ท่านกล่าวแล้วพึงกล่าวตอบท่าน
เพราะว่าถ้อยคำแข่งดีให้เกิดทุกข์
อาชญาตอบพึงถูกต้องท่าน.
(๑๐:๕)
๑๓๔.
สเจ
เนเรสิ อตฺตานํ,
กํโส
อุปหโต ยถา;
เอส
ปตฺโตสิ นิพฺพานํ,
สารมฺโภ
เต น วิชฺชติฯ
ถ้าท่านไม่ยังตนให้หวั่นไหวดุจกังสดาลถูกขจัดแล้ว
ท่านนี้
จะเป็นผู้ถึงนิพพาน
ความแข็งดีย่อมไม่มีแก่ท่าน.
(๑๐:๖)
๑๓๕.
ยถา
ทณฺเฑน โคปาโล,
คาโว
ปาเชติ โคจรํ;
เอวํ
ชรา จ มจฺจุ จ,
อายุํ
ปาเชนฺติ ปาณินํฯ
นายโคบาลย่อมต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากิน
ด้วยท่อนไม้ฉันใด
ความแก่และความตายย่อมต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไป
ฉันนั้น.
(๑๐:๗)
๑๓๖.
อถ
ปาปานิ กมฺมานิ,
กรํ
พาโล น พุชฺฌติ;
เสหิ
กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ,
อคฺคิทฑฺโฒว
ตปฺปติฯ
คนพาลผู้ไร้ปัญญาทำกรรมอันลามกอยู่
ย่อมไม่รู้สึก
ภายหลังย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนเอง
เหมือนบุคคลถูกไฟไหม้
ฉะนั้น.
(๑๐:๘)
๑๓๗.
โย
ทณฺเฑน อทณฺเฑสุ,
อปฺปทุฏฺเฐสุ
ทุสฺสติ;
ทสนฺนมญฺญตรํ
ฐานํ,
ขิปฺปเมว
นิคจฺฉติฯ
ผู้ใดย่อมประทุษร้ายในพระขีณาสพผู้ไม่มีอาชญา
ผู้ไม่ประทุษร้าย
ด้วยอาชญา ผู้นั้นย่อมเข้าถึงเหตุ
แห่งทุกข์
๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว.
(๑๐:๙)
๑๓๘.
เวทนํ
ผรุสํ ชานึ,
สรีรสฺส
จ เภทนํ;
ครุกํ
วาปิ อาพาธํ,
จิตฺตกฺเขปํ
ว ปาปุเณฯ
คือเวทนาหยาบช้า
ความเสื่อมทรัพย์
ความแตกแห่งสรีระอาพาธหนัก
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต.
(๑๐:๑๐)
๑๓๙.
ราชโต
วา อุปสคฺคํ,
อพฺภกฺขานํ
ว ทารุณํ;
ปริกฺขยํ
ว ญาตีนํ,
โภคานํ
ว ปภงฺคุณํฯ
ความขัดข้องแต่พระราชาการกล่าวตู่อันร้ายแรง
ความสิ้นญาติ
ความย่อยยับแห่งโภคะทั้งหลาย.
(๑๐:๑๑
๑๔๐.
อถ
วาสฺส อคารานิ,
อคฺคิ
ฑหติ ปาวโก;
กายสฺส
เภทา ทุปฺปญฺโญ,
นิรยํ
โส อุปปชฺชติฯ
หรือไฟย่อมไหม้เรือนของเขา
เมื่อตายไป
เขาผู้ไร้ปัญญา
ย่อมเข้าถึงนรก.
(๑๐:๑๒)
๑๔๑.
น
นคฺคจริยา น ชฏา น ปงฺกา,
นานาสกา
ตณฺฑิลสายิกา วา;
รโชชลฺลํ
อุกฺกุฏิกปฺปธานํ,
โสเธนฺติ
มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํฯ
ความประพฤติเปลือย
การทรงชฎาการนอนที่เปือกตม
การไม่กินข้าว
หรือการนอนเหนือแผ่นดิน
ความคลุกคลีด้วยธุลี
ความเพียรอันปรารภด้วยความเป็นคนกระโหย่ง
ยังสัตว์มีความสงสัยอันข้ามไม่ได้แล้วให้หมดจดไม่ได้.
(๑๐:๑๓)
๑๔๒.
อลงฺกโต
เจปิ สมํ จเรยฺย,
สนฺโต
ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี;
สพฺเพสุ
ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ,
โส
พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุฯ
ถ้าแม้บุคคลผู้ประดับแล้ว
เป็นผู้สงบ ฝึกแล้วเที่ยงแล้ว
เป็นผู้ประพฤติธรรมอันประเสริฐ
วางอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก
แล้วพึงประพฤติสม่ำเสมอไซร้
บุคคลนั้น ชื่อว่าเป็นพราหมณ์
บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นสมณะ
บุคคลนั้น ชื่อว่าเป็นภิกษุ.
(๑๐:๑๔)
๑๔๓.
หิรินิเสโธ
ปุริโส,
โกจิ
โลกสฺมิ วิชฺชติ;
โย
นิทฺทํ อปโพเธติ,
อสฺโส
ภทฺโร กสามิวฯ
บุรุษผู้เกียดกันอกุศลวิตกด้วยหิริ มีอยู่ในโลกน้อยคน
บุรุษผู้บรรเทาความหลับตื่นอยู่
ดุจม้าที่เจริญหลบแส้
หาได้ยาก.
(๑๐:๑๕)
๑๔๔.
อสฺโส
ยถา ภทฺโร กสานิวิฏฺโฐ,
อาตาปิโน
สํเวคิโน ภวาถ;
สทฺธาย
สีเลน จ วิริเยน จ,
สมาธินา
ธมฺมวินิจฺฉเยน จ;
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา
ปติสฺสตา,
ปหสฺสถ
ทุกฺขมิทํ อนปฺปกํฯ
ม้าที่เจริญถูกนายสารถีเฆี่ยนด้วยแส้ย่อมทำความเพียร
ฉันใด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีความเพียรมีความสังเวช
ฉันนั้นเถิด
เธอทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา
ศีล วิริยะ
สมาธิ และการวินิจฉัยธรรม
สมาธิ และการวินิจฉัยธรรม
เป็นผู้มีวิชชาและจรณะอันสมบูรณ์
เป็นผู้มีสติ
จักละทุกข์มีประมาณไม่น้อยนี้เสียได้.
(๑๐:๑๖)
๑๔๕.
อุทกํ
หิ นยนฺติ เนตฺติกา,
อุสุการา
นมยนฺติ เตชนํ;
ทารุํ
นมยนฺติ ตจฺฉกา,
อตฺตานํ
ทมยนฺติ สุพฺพตาฯ
ทณฺฑวคฺโค
ทสโม นิฏฺฐิโตฯ
ก็พวกใช้น้ำย่อมไขน้ำไป
พวกช่างศรย่อมดัดลูกศร
พวกช่างถากย่อมถากไม้
ผู้มีวัตรอันงามย่อมฝึกตน.
(๑๐:๑๗)
จบทัณฑวรรคที่
๑๐
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen