ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์
ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๔๘
---------------------------------
๑. รูปกายอุบัติและธรรมกายอุบัติ
แห่งพระมหาบุรุษนั้น
มีความหมายว่าอย่างไร ?
ตอบ:
๑. รูปกายอุบัติ
คือความอุบัติในสมัยลงสู่พระครรภ์และในสมัยประสูติจากพระครรภ์
ส่วนธรรมกายอุบัติ
คือการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ฯ
๒. ข้ออุปมาว่า
“ไม้แห้งที่วางไว้บนบก
ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิดไฟได้”
เกิดขึ้น
แก่ใคร ? โดยนำไปเปรียบกับอะไร ?
แก่ใคร ? โดยนำไปเปรียบกับอะไร ?
ตอบ:
๒.
แก่พระมหาบุรุษ
คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฯ โดยทรงนำไปเปรียบ
กับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม
ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้อง
ย่อมสามารถตรัสรู้ธรรมได้ ฯ
กับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม
ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้อง
ย่อมสามารถตรัสรู้ธรรมได้ ฯ
๓. อนุปุพพีกถา
คืออะไร ?
ทรงแสดงแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยองค์เท่าไร
?
อะไรบ้าง
?
ตอบ:
๓. คือถ้อยคำที่กล่าวเรียงเรื่องเป็นลำดับไป
ฯ ด้วยองค์ ๓ ฯ คือ เป็นมนุษย์
๑
เป็นคฤหัสถ์ ๑ มีอุปนิสัยแก่กล้าควรบรรลุโลกุตรคุณในที่นั้น ๑ ฯ
เป็นคฤหัสถ์ ๑ มีอุปนิสัยแก่กล้าควรบรรลุโลกุตรคุณในที่นั้น ๑ ฯ
๔. สหายของพระยสะ
๔ คน ได้ออกบวชตามพระยสะ
เพราะคิดอย่างไร ?
ตอบ:
๔. เพราะคิดว่า
ธรรมวินัยที่พระยสะออกบวชนั้นจักไม่เลวทรามแน่แท้
คงเป็น
ธรรมวินัยอันประเสริฐ คิดดังนี้จึงได้ออกบวช ฯ
ธรรมวินัยอันประเสริฐ คิดดังนี้จึงได้ออกบวช ฯ
๕. พระพุทธดำรัสว่า
“เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงหามิได้
แต่เรา
มิใช่ไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงเลย” ตรัสแก่ใคร ? ทรงหมาย
ความว่าอย่างไร ?
มิใช่ไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงเลย” ตรัสแก่ใคร ? ทรงหมาย
ความว่าอย่างไร ?
ตอบ:
๕. ตรัสแก่พระมหาโมคคัลลานเถระ
ฯ ทรงหมายความว่า
พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญ
ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ แต่ทรงสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะอันสงัด ฯ
ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ แต่ทรงสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะอันสงัด ฯ
๖. พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุให้ประพฤติตนในการเข้าไปใกล้ตระกูลโดยยก
พระมหากัสสปะเป็นตัวอย่างไว้อย่างไร ?
พระมหากัสสปะเป็นตัวอย่างไว้อย่างไร ?
ตอบ:
๖. ตรัสสอนไว้มาก
โดยสรุปทรงสอนว่า
ท่านพระมหากัสสปะมีความสำรวมระวัง
อย่างยิ่ง ทำตนเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่ลำพอง ไม่ติดข้อง วางเฉยกับอิฏฐารมณ์
และอนิฏฐารมณ์ที่ประสบได้ทุกอย่าง ฯ
อย่างยิ่ง ทำตนเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่ลำพอง ไม่ติดข้อง วางเฉยกับอิฏฐารมณ์
และอนิฏฐารมณ์ที่ประสบได้ทุกอย่าง ฯ
๗. ธรรม
๓๗ ประการมีสติปัฏฐาน ๔
เป็นต้น มีมรรคมีองค์ ๘
เป็นที่สุด เรียก
ชื่อว่าธรรมอะไรได้บ้าง ? เรียกอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ชื่อว่าธรรมอะไรได้บ้าง ? เรียกอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ:
๗. เรียกชื่อว่า
อภิญญาเทสิตธรรม
เพราะเป็นธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วย
พระปัญญาอันยิ่ง และเรียกชื่อว่า โพธิปักขิยธรรม เพราะธรรมเหล่านี้เป็น
ฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ฯ
พระปัญญาอันยิ่ง และเรียกชื่อว่า โพธิปักขิยธรรม เพราะธรรมเหล่านี้เป็น
ฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ฯ
๘. โมฆราชมาณพคิดจะทูลถามปัญหากะพระพุทธองค์
๓ ครั้ง แต่มิได้ทูลถาม
เพราะเหตุไร ?
เพราะเหตุไร ?
ตอบ:
๘. ในครั้งที่
๑ ไม่ได้ทูลถามเพราะเห็นว่าอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่า
จึงยอมให้ทูลถาม
ก่อน ในครั้งที่ ๒ และ ๓ ไม่ได้ทูลถามเพราะพระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ ฯ
ก่อน ในครั้งที่ ๒ และ ๓ ไม่ได้ทูลถามเพราะพระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ ฯ
๙. ในพุทธประวัติกล่าวถึงบุคคลต่อไปนี้คือ
โสตถิยพราหมณ์ หุหุกชาติพราหมณ์
โทณพราหมณ์ ว่าอย่างไรบ้าง ?
โทณพราหมณ์ ว่าอย่างไรบ้าง ?
ตอบ:
๙. โสตถิยพราหมณ์
เป็นพราหมณ์ที่ถวายหญ้าแด่พระมหาบุรุษในเวลาเย็นแห่งวันตรัสรู้
หุหุกชาติพราหมณ์
เป็นพราหมณ์ที่เข้าเฝ้าทูลถามปัญหากะพระพุทธองค์ขณะ
ประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้อชปาลนิโครธ
ประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้อชปาลนิโครธ
โทณพราหมณ์
เป็นพราหมณ์ที่ทำหน้าที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่กษัตริย์และ
พราหมณ์ทั้ง ๘ พระนคร ฯ
พราหมณ์ทั้ง ๘ พระนคร ฯ
๑๐. พุทธบริษัท
๔ คือ ใครบ้าง ?
ผู้ตั้งอยู่ในเอตทัคคะทางพระธรรมกถึกของแต่
ละฝ่ายคือใคร ?
ละฝ่ายคือใคร ?
ตอบ:
๑๐. คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ฯ
ฝ่ายภิกษุ
คือ พระปุณณมันตานีบุตรเถระ
ฝ่ายภิกษุณี
คือ พระธัมมทินนาเถรี
ฝ่ายอุบาสก
คือ จิตตคฤหบดี
ฝ่ายอุบาสิกา
คือ นางขุชชุตตรา ฯ
ผู้ออกข้อสอบ
|
:
|
๑.
|
พระพรหมเวที
|
วัดไตรมิตรวิทยาราม
|
|
|
๒.
|
พระเทพมงคลสุธี
|
วัดราชประดิษฐ์ฯ
|
|
|
๓.
|
พระราชสุธี
|
วัดเทวราชกุญชร
|
ตรวจ/ปรับปรุง
|
:
|
|
สนามหลวงแผนกธรรม
|
|
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen