Samstag, 6. März 2021

๑. ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน

ธมฺมปทปาฬิ

. ยมกวคฺโค

.

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฏฺฐา มโนมยา;

มนสา เจ ปทุฏฺเฐน, ภาสติ วา กโรติ วา;

ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ, จกฺกํว วหโต ปทํฯ

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ, 

ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม, 

ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น, 

เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น“.



. ยมกวรรค วรรณนา

. เรื่องพระจักขุปาลเถระ []

[ข้อความเบื้องต้น]

 มีปุจฉาว่า พระธรรมเทศนานี้ว่า

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่

 สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี

 ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจ

 ล้ออันหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น, 

ดังนี้ พระศาสดาตรัสแล้ว ณ ที่ไหน ?

 วิสัชนาว่า พระองค์ตรัสแล้ว ณ กรุงสาวัตถี. 

 มีปุจฉา (เป็นลำดับไป )ว่า พระองค์ทรงปรารภใคร ?

 มีวิสัชนาว่า พระองค์ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระ. 

[กุฎุมพีทำพิธีขอบุตร]

 ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุฎุมพีผู้หนึ่งชื่อมหาสุวรรณเป็นคนมั่งมี มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก (แต่) ไม่มีบุตร. วันหนึ่งเขาไปสู่ท่าอาบน้ำ อาบเสร็จแล้วกลับมา เห็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพรต้นหนึ่งมีกิ่งสมบูรณ์ ในระหว่างทาง คิดว่า ต้นไม้นี้ จักมีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่สิงอยู่ ดังนี้แล้ว จึงให้ชำระส่วนภายใต้แห่งต้นไม้นั้นให้สะอาดแล้ว ให้วงรั้ว เกลี่ยทราย ยกธงชัยและธงปฏากขึ้น แต่ง ต้นไม้เจ้าไพรแล้ว ทำปรารถนา (คือบน)ว่า ข้าพเจ้าได้บุตรหรือธิดาแล้ว จักทำสักการะใหญ่ถวายท่าน ดังนี้แล้ว หลีกไป. 

[กุฎุมพีได้บุตรสองคน]

 ในกาลเป็นลำดับมา ภรรยาของท่านเศรษฐีก็ตั้งครรภ์. ท่านก็ให้พิธีครรภบริหาร แก่นาง. ครั้นล่วง ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรคนหนึ่งท่านเศรษฐีขนานนามแห่งบุตรนั้นว่า ปาละ เพราะเหตุทารกนั้นตนอาศัยไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพรอันตนอภิบาลจึงได้แล้ว. ในกาลเป็นส่วนอื่น ท่านเศรษฐีได้บุตรอีกคนหนึ่ง ขนานนามว่า จุลปาละ ขนานนามบุตรคนแรกว่า มหาปาละ. ครั้น ๒กุมารนั้นเจริญวัย มารดาบิดาก็คิดผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือการครองเคหสถาน. ในกาลเป็นส่วนอื่น มารดาบิดาได้ทำกาลกิริยาล่วงไป. วงศ์ญาติก็เปิดสมบัติทั้งหมดมอบให้แก่ ๒ เศรษฐีบุตร. 

[พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา]

 ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงประกาศพระบวรธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เสด็จไปโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี บริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิสร้างถวาย, ทรงสั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และในทางนิพพาน. แท้จริง พระตถาคตเสด็จอยู่จำพรรษา ๆ เดียวเท่านั้นในนิโครธมหาวิหารที่พระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนนี ๘ หมื่นตระกูล, ฝ่ายพระชนก ๘หมื่นตระกูล เข้ากันเป็นแสนหกหมื่นตระกูลสร้างถวาย, เสด็จอยู่จำพรรษา ณ เชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา, เสด็จจำพรรษา ณ บุพพารามที่นางวิสาขามหาอุบาสิกา บริจาคทรัพย์นับได้ ๒๗ โกฏิสร้างถวาย ๖ พรรษา, ทรงอาศัยที่ตระกูลทั้ง ๒เป็นผู้ใหญ่โดยคุณธรรม เสด็จอยู่จำพรรษาอาศัยกรุงสาวัตถี (เป็นโคจรคาม) ถึง ๒๕ พรรษา ด้วยประการฉะนี้. 

[ผู้บำรุงภิกษุสามเณร]

 ทั้งท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ทั้งวิสาขามหาอุบาสิกาย่อมไปสู่ที่อุปัฏฐากพระตถาคตเจ้าวันละ ๒ ครั้งเป็นประจำ. และเมื่อไปไม่เคยมีมือเปล่าไป ด้วยคิดเกรงว่า ภิกษุหนุ่มและสามเณร จักแลดูมือตน. เมื่อไปก่อนเวลาฉันอาหาร ย่อมใช้ให้คนถือของขบเคี้ยวเป็นต้นไป, เมื่อไปภายหลังแต่เวลาฉันอาหาร ใช้ให้คนถือปัญจเภสัช และอัฐบานไป. และในเคหสถานแห่งท่านทั้ง ๒นั้น เขาแต่งอาสนะไว้เพื่อภิกษุแห่งละ ๒ พันรูปเป็นนิตยกาล. พระภิกษุรูปใด ปรารถนาของสิ่งใด จะเป็นข้าวน้ำหรือเภสัช ของนั้นก็สำเร็จแก่พระภิกษุรูปนั้นสมปรารถนา. 

[เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา]

 ในท่านทั้งสองนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เคยทูลถามปัญหาต่อพระศาสดา จนวันเดียว. ได้ยินว่า ท่านคิดว่า พระตถาคตเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อน เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า คฤหบดีมีอุปการะแก่เรามาก ดังนี้ จะทรงลำบากแล้วไม่ทูลถามปัญหาด้วยความรักในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่านเศรษฐีนั่งแล้ว ทรงพระพุทธดำริว่า เศรษฐีนี้รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, เหตุว่าเราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควักดวงตาของเราออกแล้ว ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมียผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของเราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับแสนกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อแสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, (ครั้นทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัสพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ. 

[ชาวสาวัตถีไปฟังธรรม]

 ครั้งนั้น  ในกรุงสาวัตถี มีคนอยู่ ๗ โกฏิ. ในคนหมู่นั้น คนได้ฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว เกิดเป็นอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ ยังเป็นปุถุชนอยู่ประมาณ ๒ โกฏิ. ในคนเหล่านั้น กิจของพระอริยสาวกมีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือในกาลก่อนแต่เวลาฉันอาหาร ท่านถวายทาน, ในกาลภายหลังแต่ฉันอาหารแล้ว ท่านมีถือเครื่องสักการบูชามีขอหอมและระเบียงดอกไม้เป็นต้น ใช้คนให้ถือไทยธรรมมีผู้เภสัชและน้ำปานะเป็นต้น ไปเพื่อต้องการฟังธรรม. 

[มหาปาละตามไปฟังธรรม]

 ภายหลังวันหนึ่ง กุฎุมพีมหาปาละเห็นหมู่อริยสาวก มีมือถือเครื่องสักการบูชา มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไปสู่วิหารจึงถามว่า มหาชนหมู่นี้ไปไหนกัน ? ครั้นได้ยินว่า ไปฟังธรรมก็คิดว่า เราก็จักไปบ้าง ครั้นไปถึง ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่งอยู่ข้างท้ายประชุมชน. ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทรงแสดงธรรมทอดพระเนตรอุปนิสัยแห่งคุณ มีสรณะศีลและบรรพชาเป็นต้น (ก่อน)แล้วจึงทรงแสดงธรรมตามอำนาจอัธยาศัย. 

[อนุปุพพีกถา ๕]

 เหตุนั้น วันนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรอุปนิสัยของกุฎมพีมหาปาละแล้ว เมื่อทรงแสดงธรรม ได้ตรัสอนุปุพพีกถาคือทรงประกาศทานกถา (พรรณนาทาน) สีลกถา (พรรณนาศีล) สัคคกถา (พรรณนาสวรรค์) โทษ ความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะ (คือความออกไปจากกามทั้งหลาย). 

[มหาปาละขอบวช]

 กุฎุมพีมหาปาละได้สดับธรรมนั้นแล้ว คิดว่า บุตรและธิดาก็ดีโภคสมบัติก็ดี ย่อมไปตามผู้ไปสู่ปรโลกหาได้ไม่ แม้สรีระก็ไปกับตัวไม่ได้ ประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวชพอเทศนาจบ เขาก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลของบวช. ขณะนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า ญาติไหน ๆ ของท่านที่ควรจะต้องอำลาไม่มีบ้างหรือ ? เขาทูลว่า พระเจ้าข้า น้องชายของข้าพเจ้ามีอยู่. พระศาสดารับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงอำลาเขาเสีย ก่อน. 

[มหาปาละมอบสมบัติให้น้องชาย]

 เขาทูลรับว่า ดีแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปถึงเรือนแล้ว ให้เรียกน้องชายมา มอบทรัพย์สมบัติให้ว่า แน่ะพ่อสวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อันใดอันหนึ่ง บรรดามีในตระกูลนี้ ทรัพย์นั้นจงตกเป็นภาระของเจ้าทั้งหมด เจ้าดูและทรัพย์นั้นเถิด. น้องชายถามว่า นาย ก็ท่านเล่า ? พี่ชายตอบว่า ข้าจักบวชในสำนักของพระศาสดา. 

 น. พี่พูดอะไร เมื่อมารดาของข้าพเจ้าตายแล้ว ข้าพเจ้าได้ท่านเป็นเหมือนมารดา เมื่อบิดาตายแล้ว ได้ท่านเป็นเหมือนบิดา. สมบัติเป็นอันมากมีอยู่ในเรือนของท่าน, ท่านอยู่ครองเรือนเท่านั้น อาจทำบุญได้, ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้นเลย. 

พ. พ่อ ข้าได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา, เพราะ(เหตุที่)พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีคุณไพเราะ (ทั้ง) ในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ยกขึ้นสู่ไตรลักษณะ อันละเอียดสุขุม ธรรมนั้น อันใคร ๆไม่สามารถจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ในท่ามกลางเรือนได้, ข้าจักบวชละ พ่อ. 

น. พี่ เออก็ ท่านยังหนุ่มอยู่โดยแท้, เอาไว้บวชในเมื่อท่านแก่เถิด. 

น. พ่อ ก็เมื่อมือและเท้าของคนแก่ (แต่) ของตัว ก็ยังว่าไม่ฟังไม่เป็นไปในอำนาจ, ก็จักกล่าวไปทำอะไรถึงญาติทั้งหลาย, ข้านั้นจะไม่ทำ (ตาม) ถ้อยคำของเจ้า, ข้าจักบำเพ็ญสมณปฏิบัติให้บริบูรณ์.

"มือและเท้าของผู้ใดทรุดโทรมไปเพราะชราว่า ไม่ฟัง ผู้นั้น มีเรี่ยวแรงอันชรากำจัดเสียแล้ว จักประพฤติธรรมอย่างไรได้". 


ข้าจักบวชแน่ละ พ่อ. 


[มหาปาละบรรพชาอุปสมบท]

 เมื่อน้องชายกำลังร้องไห้อยู่เทียว, เขาไปสู่สำนักพระศาสดาแล้วทูลขอบวช ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว อยู่ในสำนักแห่งพระอาจารย์และอุปัชฌาย์ครบ ๕ พรรษาแล้ว ออกพรรษา ปวารณาแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลถามว่า พระเจ้าข้า ในพระศาสนานี้ มีธุระกี่อย่าง ? 

[ธุระ ๒ อย่างในพระศาสนา]

 พระศาสนาตรัสตอบว่า ภิกษุ ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ(กับ) วิปัสสนาธุระ เท่านั้น. พระมหาปาละทูลถามว่า พระเจ้าข้า ก็คันถธุระเป็นอย่างไร ?วิปัสสนาธุระเป็นอย่างไร ?

ศ. ธุระนี้ คือ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วทรงไว้ กล่าว บอก พุทธวจนะนั้น ชื่อว่าคันถธุระ. ส่วนการเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ยังวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งการทำการติดต่อแล้ว ถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติแคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัด ชื่อว่าวิปัสสนาธุระ. 

ม. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์บวชแล้วแต่เมื่อแก่ ไม่สามารถจะบำเพ็ญคัณถธุระให้บริบูรณ์ได้, แต่จักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์, ขอพระองค์ตรัสบอกพระกรรมฐานแก่ข้าพระองค์เถิด. 

[พระมหาปาละเดินทางไปบ้านปลายแดน]

 ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสบอกพระกรรมฐานตลอดถึงพระอรหัตแก่พระมหาปาละ. ท่านถวายบังคมพระศาสดาแล้ว แสวงหาภิกษุผู้จะไปกับตน ได้ภิกษุ ๖๐ รูปแล้ว ออกพร้อมกับเธอทั้งหลายไปตลอดทาง ๑๒๐ โยชน์ ถึงบ้านปลายแดนหมู่ใหญ่ตำบลหนึ่ง จึงพร้อมด้วยบริวาร เข้าไปบิณฑบาต ณ บ้านนั้น. 

[ชาวบ้านเสื่อมใสอาราธนาให้อยู่จำพรรษา]

 หมู่มนุษย์ เห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร มีจิตเสื่อมใส แต่งอาสนะแล้วนิมนต์ให้นั่ง อังคาสด้วยอาหารอันประณีตแล้ว ถามว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้าจะไปที่ไหน ? เมื่อเธอทั้งหลายกล่าวตอบว่า อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เราจะไปสู่ที่ตามผาสุก ดังนี้แล้ว, มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตรู้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายแสวงหาเสนาสนะที่จำพรรษา, จึงกล่าวอาราธนาว่า ท่านผู้เจริญถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย พึงอยู่ ณ ที่นี่ตลอดไตรมาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะพึงตั้งอยู่ในสรณะแล้วถือศีล. แม้เธอทั้งหลายก็คิดเห็นว่า เราได้อาศัยตระกูลเหล่านี้ จักทำการออกไปจากภพได้ ดังนี้ จึงรับนิมนต์. หมู่มนุษย์รับปฏิญญาของเธอทั้งหลายแล้ว ได้ (ช่วยกัน) ปัดกวาดวิหาร จัดที่อยู่ในกลางคืน และที่อยู่ในกลางวันแล้วมอบถวาย. เธอทั้งหลาย เข้าไปบิณฑบาตบ้านนั้นตำบลเดียวเป็นประจำ. ครั้งนั้น  หมอผู้หนึ่งเข้าไปหาเธอทั้งหลาย ปวารณาว่า ท่านผู้เจริญธรรมดาในที่อยู่ของคนมาก ย่อมมีความไม่ผาสุกบ้าง. เมื่อความไม่ผาสุกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายพึงบอกแก่ข้าพเจ้าข้าพเจ้าจักทำเภสัชถวาย. 

[พระมหาปาละถือเนสัชชิกธุดงค์]

 ในวันจำพรรษา พระเถระเรียกภิกษุเหล่านั้นมา (พร้อมกัน)แล้ว ถามว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจักให้ไตรมาสนี้ น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถเท่าไร ? ภิกษุทั้งหลายเรียนตอบว่า จักให้น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถครบทั้ง ๔ ขอรับ. 

ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นสมควรละหรือ ? เราทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาทไม่ใช่หรือ ? เพราะเราทั้งหลายเรียนพระกรรมฐานมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่. แลธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันคนมักอวดไม่สามารถจะให้ทรงยินดีได้, ด้วยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น อันคนมีอัธยาศัยงาม(จำพวกเดียว) พึงให้ทรงยินดีได้, และขึ้นชื่อว่าอบายทั้ง ๔ เป็นเหมือนเรือนของตัวเอง แห่งคนผู้ประมาทแล้ว, ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. 

ภ. ก็ท่านเล่า ขอรับ. 

ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักให้ (ไตรมาสนี้) น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถ ๓, จักไม่เหยียดหลัง. 

ภ. สาธุ ขอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ขอรับ. 

[จักษุของพระมหาปาละพิการ]

เมื่อพระเถระไม่หยั่งลงสู่นิทรา, เมื่อเดือนต้นผ่านไปแล้ว, โรคในจักษุก็เกิดขึ้น. สายน้ำไหลออกจากตาทั้ง ๒ ข้าง เหมือนสายน้ำอันไหลออกจากหม้ออันทะลุ. ท่านบำเพ็ญสมณธรรมตลอดราตรีทั้งสิ้นแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น เข้าห้องนั่งแล้ว. ในเวลาภิกขาจาร ภิกษุทั้งหลาย ไปสู่สำนักของพระเถระเรียนว่า เวลานี้เป็นเวลาภิกขาจาร ขอรับ. พระเถระตอบว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถือบาตรและจีวรเถิด ดังนี้แล้ว ให้เธอทั้งหลายถือบาตรและจีวรของตน ออกไปแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย เห็นตาทั้งสองของพระเถระนองอยู่ จึงเรียนถามว่า นั่นเป็นอะไร ขอรับ. 

ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ลมแทงตาของข้าพเจ้า. 

ภ. ท่านขอรับ หมอปวารณาเราไว้ไม่ใช่หรือ ? เราควรบอกแก่เขา. 

ถ. ดีละ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. 

[หมอปรุงยาให้หยอด]

 เธอทั้งหลายจึงได้บอกแก่หมอ. เขาหุงน้ำมันส่งไปถวายแล้ว. พระเถระเมื่อหยอดน้ำมันในจมูก นั่งหยอดเทียวแล้วเข้าไปภายในบ้าน. หมอเห็นเรียนถามว่า ท่านขอรับ ได้ยินว่า ลมแทงตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ?

ถ. เออ อุบาสก. 

ม. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันแล้วส่งไป (ถวาย) ท่านหยอดทางจมูกแล้วหรือ ?

ถ. เออ อุบาสก. 

ม. เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ขอรับ. 

ถ. ยังแทงอยู่ทีเดียว อุบาสก. 

[พระมหาปาละนั่งหยอดยา]

 หมอคิดฉงนใจว่า เราส่งน้ำมันเพื่อจะยังโรคให้ระงับได้ด้วยการหยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไปถวายแล้ว, เหตุไฉนหนอแล โรคจึงยังไม่สงบ ? จึงเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด. พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้หมอซักถามอยู่ก็ไม่พูด. หมอนึกว่า เราจักไปวิหารดูที่อยู่เอง ดังนี้แล้วกล่าวว่าถ้าอย่างนั้น นิมนต์ไปเถิด ขอรับ ผละพระเถระแล้ว ไปสู่วิหารดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นแต่ที่จงกรมและที่นั่ง ไม่เห็นที่นอนจึงเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด พระเถระได้นิ่งเสีย. หมออ้อนวอนซ้ำว่า ท่านผู้เจริญขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้น, ธรรมดาสมณธรรม เมื่อร่างกายยังเป็นไปอยู่ ก็อาจทำได้, ขอท่านนอนหยอดเถิด. 

[พระมหาปาละปรึกษากรัชกาย]

 พระเถระตอบว่า ไปเถิด ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าจักปรึกษาดูก่อนแล้วจึงจักรู้. ก็ในที่นั้นไม่มีญาติสาโลหิตของพระเถระเลย ท่านจะพึงปรึกษากับใครเล่า ? ถึงอย่างนั้น ท่านปรึกษากับกรัชกาย อยู่ดำริว่า แน่ะปาลิตะผู้มีอายุ ท่านจงว่ามาก่อน, ท่านจักเห็นแก่จักษุหรือจักเห็นแก่พระพุทธศาสนา, ก็ในสังสารวัฏอันมีที่สุด อันใครตามค้นไปก็รู้ไม่ได้ การคณนานับตัวท่านผู้บอดด้วยจักษุหามีไม่, และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ล่วงไปหลายร้อยหลายพันพระองค์แล้ว ในพระพุทธเจ้าเหล่านั้น พระพุทธเจ้า แม้แต่พระองค์เดียวก็กำหนดไม่ได้. ท่านได้ผูกใจไว้เดี๋ยวนี้เองว่า จักไม่นอน จนตลอด ๓ เดือนภายในฤดูฝนนี้, เหตุฉะนั้น จักษุของท่านฉิบหายเสียหรือแตกเสียก็ตามเถิดท่านจงทรงแต่พระพุทธศาสนาไว้เถิด อย่าเห็นแก่จักษุเลย เมื่อกล่าวสอนภูตกาย ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :- 


"จักษุที่ท่านถือว่าของตัว เสื่อมไปเสียเถิด, หูก็เสื่อมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็เสื่อม ไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่. 


จักษุที่ท่านถือว่าของตัว ทรุดโทรมไปเสียเถิด, หูก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือน กันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่. 


จักษุที่ท่านถือว่าของตัว แตก ไปเสียเถิด, หูก็แตกไปเสียเถิด, รูปก็เป็นเหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็แตกไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาทอยู่". 



[หมอเลิกรักษาพระมหาปาละ]

 ครั้นพระเถระให้โอวาทแก่ตนเองด้วย ๓ คาถาอย่างแล้ว ได้นั่ง ทำนัตถุกรรมแล้วจึงเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต หมอเห็นแล้วเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทำนัตถุกรรมแล้วหรือ ?

ถ. เออ อุบาสก. 

ม. เป็นอย่างไรบ้าง ขอรับ. 

ถ. ยังแทงอยู่เทียว อุบาสก. 

ม. ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด ขอรับ. พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้อันหมอถามซ้ำ ก็ไม่พูดอะไร. ขณะนั้น หมอกกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ทำความสบาย, ตั้งแต่วันนี้ ขอท่านอย่าได้กล่าวว่า หมอผู้โน้นหุงน้ำมันให้เรา แม้ข้าพเจ้าก็จักไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันถวายท่าน. 

[พระเถระเสียจักษุพร้อมด้วยบรรลุด้วยพระอรหัต]

 พระเถระถูกหมอบอกเลิกแล้ว กลับไปสู่วิหาร ดำริว่า ท่านแม้หมอเขาก็บอกเลิกแล้ว ท่านอย่าได้ละอิริยาบถเสียนะ สมณะแล้วกล่าวสอนตนด้วยคาถานี้ว่า 


"ปาลิตะ ท่านถูกหมอเขาบอกเลิกจากการรักษา ทิ้งเสียแล้ว เที่ยงต่อมัจจุราช ไฉนจึงยังประมาท อยู่เล่า ?" 


ดังนี้แล้ว บำเพ็ญสมณธรรม. ลำดับนั้น พอมัชฌิมยามล่วงแล้ว, ทั้งดวงตา ทั้งกิเลส ของท่านแตก (พร้อมกัน) ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน. ท่านเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสกเข้าไปสู่ห้องนั่งแล้ว. 

[พวกภิกษุและชาวบ้านรับบำรุงพระเถระ]

 ในเวลาภิกขาจาร ภิกษุทั้งหลายไปเรียนว่า ท่านผู้เจริญเวลานี้ เป็นเวลาภิกขาจาร. 

ถ. กาลหรือ ? ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. 

ภ. ขอรับ. 

ถ. ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายไปเถิด. 

ภ. ก็ท่านเล่า ? ขอรับ. 

ถ. ตาของข้าพเจ้าเสื่อมเสียแล้ว ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย. เธอทั้งหลายแลดูตาของท่านแล้ว มีตาเต็มด้วยน้ำตา ปลอบพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าคิดไปเลย, กระผมทั้งหลายจักปฏิบัติท่าน ดังนี้แล้ว ทำวัตรปฏิบัติที่ควรจะทำเสร็จแล้วเข้าไปสู่บ้าน. หมู่มนุษย์ไม่เห็นพระเถระ ถามว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไปข้างไหนเสีย ทราบข่าวนั้นแล้ว ส่งข้าวต้มไปถวายก่อนแล้ว ถือเอาบิณฑบาตไปเอง ไหว้พระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่แทบเท้า (ของท่าน) ปลอบว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจักรับปฏิบัติ ท่านอย่าได้คิดไปเลยแล้วลากลับ. ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ส่งข้างต้มและข้าวสวยไปถวายที่วิหารเป็นนิตย์. ฝ่ายพระเถระ ก็กล่าวสอนภิกษุ ๖๐ รูปนอกนี้เป็นนิรันดร์. เธอทั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน, ครั้นจวนวันปวารณา ก็บรรลุ พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทุกรูป. 

[พวกภิกษุไปเฝ้าพระศาสดา] 

ก็แลเธอทั้งหลายออกพรรษาแล้ว อยากจะเฝ้าพระศาสดา จึงเรียนพระเถระว่า กระผมทั้งหลายอยากจะเฝ้าพระศาสดา ขอรับ. พระเถระได้ฟังคำของเธอทั้งหลายแล้วคิดว่า เราเป็นคนทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์สิงก็มีอยู่ เมื่อเราไปกับเธอทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมด จักไม่อาจเพื่ออันได้แม้ภิกษา เราจักส่งภิกษุเหล่านี้ไปเสียก่อน. ลำดับนั้น ท่านจึงกล่าวกะเธอทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด. 

ภ. ก็ท่านเล่า ? ขอรับ. 

ถ. ข้าพเจ้าเป็นคนทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์สิงก็มีอยู่ เมื่อข้าพเจ้าไปกันท่านทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมดท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด. 

ภ. อย่าทำอย่างนี้เลย ขอรับ กระผมทั้งหลายจักไปพร้อมกันกับท่านทีเดียว. 

ถ. ท่านทั้งหลายอย่าชอบอย่างนั้นเลย, เมื่อเป็นอย่างนั้นความไม่ผาสุกจักมีแก่ข้าพเจ้า, น้องชายของข้าพเจ้าเห็นท่านทั้งหลายแล้ว คงจักถาม, เมื่อเช่นนั้น ท่านทั้งหลายพึงบอกความที่จักษุของข้าพเจ้าเสื่อมเสียแล้วแก่เขา, เขาคงจักส่งใคร ๆ มาสู่สำนักของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจักไปกับเขา, ท่านทั้งหลายจงไหว้พระทศพลและพระอสีติมหา เถระตามคำของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว ก็ส่งภิกษุเหล่านั้นไป. 

[พวกภิกษุแจ้งข่าวแก่น้องชายพระเถระ]

 เธอทั้งหลายขมาพระเถระแล้ว เข้าไปสู่ภายในบ้าน. หมู่มนุษย์นิมนต์ให้นั่ง ถวายภิกษาแล้ว ถามว่า ท่านเจ้าข้า ดูท่าทีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจะไปกันละหรือ ? เธอทั้งหลายตอบว่า เออ อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าอยากจะเฝ้าพระศาสดา. พวกเขาอ้อนวอนเป็นหลายครั้งแล้วทราบความพอใจในการที่เธอทั้งหลายจะไปให้ได้ จึงตามไปส่งแล้วบ่นรำพันกลับมา. ฝ่ายเธอทั้งหลาย ไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถวายบังคมพระศาสดาและไหว้พระมหาเถระทั้งหลาย ตามคำของพระเถระแล้ว, ครั้นรุ่งขึ้น เข้าไปสู่ถนนที่น้องชายของพระเถระอยู่ เพื่อบิณฑบาต. 

กุฎุมพีจำเธอทั้งหลายได้ นิมนต์ให้นั่ง ทำปฏิสันถารแล้ว ถามว่าพระเถระพี่ชายของข้าพเจ้าอยู่ไหน ? ลำดับนั้น เธอทั้งหลาย แจ้งข่าวนั้นแก่เขาแล้ว. เขาร้องไห้กลิ้งเกลืออยู่แทบบาทมูลของเธอทั้งหลาย ถามว่าท่านเจ้าข้า บัดนี้ควรทำอะไรดี ?

[ส่งสามเณรหลานชายไปรับพระเถระ]

ภ. พระเถระต้องการให้ใคร ๆ ไปจากที่นี้, ในกาลเมื่อไปถึงแล้ว ท่านจักมากับเขา. ก. ท่านเจ้าข้า เจ้าคนนี้ หลานของข้าพเจ้าชื่อปาลิตะ ขอ ท่านทั้งหลายส่งเจ้านี่ไปเถิด. 

ภ. ส่งไปอย่างนี้ไม่ได้ (เพราะ) อันตรายในทางมีอยู่, ต้องให้บวชเสียก่อนแล้วส่งไป จึงจะควร. ก. ขอท่านทั้งหลายทำอย่างนั้นแล้วส่งไปเถิด ขอรับ. ครั้งนั้น  เธอทั้งหลายให้เขาบวชแล้ว สั่งสอนให้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติมีรับจีวรเป็นต้นสักกึ่งเดือนแล้ว บอกทางให้แล้วส่งไป. สามเณรถึงบ้านนั้นโดยลำดับ เห็นชายผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ประตูบ้านจึงถามว่า วิหารป่าไร ๆ อาศัยบ้านนี้มีบ้างหรือ ?

ช. มี เจ้าข้า. 

ส. ใครอยู่ที่นั้น ?

ช. พระเถระชื่อปาลิตะ เจ้าข้า. 

ส. ขอท่านบอกทางแก่ข้าพเจ้าหน่อย. 

ช. ท่านเป็นอะไรกัน ? เจ้าข้า. 

ส. รูปเป็นหลานของพระเถระ. 

[สามเณรชวนพระมหาปาละกลับ]

 ขณะนั้น เขาพาเธอนำไปสู่วิหารแล้ว. เธอไหว้พระเถระแล้วทำวัตรปฏิบัติ บำรุงพระเถระด้วยดีสักกึ่งเดือนแล้ว เรียนว่าท่านผู้เจริญ กุฎุมพีผู้ลุงของกระผม ต้องการให้ท่านกลับไป ขอท่านมาไปด้วยกันเถิด. พระเถระกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงจับปลายไม้เท้าของเรา. สามเณรจับปลายไม้เท้า เข้าไปภายในบ้านกับพระเถระ. หมู่มนุษย์นิมนต์ให้นั่งแล้ว เรียนถามว่า ท่านผู้เจริญ ดูท่าทีท่านจะไปละกระมัง ? พระเถระตอบว่า เออ อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เราจะไปถวายบังคมพระศาสดา. หมู่มนุษย์เหล่านั้น อ้อนวอนโดยประการต่าง ๆ เมื่อไม่ได้ (สมหวัง) ก็ไปส่งพระเถระได้กึ่งทางแล้ว พากันร้องไห้กลับมา. 

[สามเณรถึงสีลวิบัติเพราะเสียงหญิง]

 สามเณรพาพระเถระ ด้วยปลายไม้เท้าไปอยู่ ถึงบ้านที่พระเถระเคยอาศัยเมืองชื่อสังกัฏฐะ อยู่แล้วในดงระหว่างทาง. เธอได้ยินเสียงขับของหญิงคนหนึ่ง ผู้ออกจากบ้านนั้นแล้ว ขับพลางเที่ยวเก็บฟืนพลางอยู่ในป่า ถือนิมิตในเสียงแล้ว. จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง. เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย. สามเณรถือนิมิตในเสียงนั้นแล้ว ปล่อยปลายไม้เท้าเสียแล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ ขอท่านรออยู่ก่อน, กิจขอบกระผมมีดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของหญิงนั้น. นางเห็นเธอแล้วได้หยุดนิ่ง. เธอถึงสีลวิบัติกับนางแล้ว. พระเถระคิดว่า เราได้ยินเสียงขับอันหนึ่งแล้วเดี๋ยวนี้เอง, ก็แล เสียงนั้นคงเป็นเสียงหญิง, ถึงสามเณรก็ ชักช้าอยู่, เธอจักถึงสีลวิบัติเสียแน่แล้ว. ฝ่ายสามเณรนั้น ทำกิจของ ตนสำเร็จแล้วมาพูดว่า เราทั้งหลายไปกันเถิด ขอรับ. ขณะนั้น พระเถระถามเธอว่า สามเณร เธอกลายเป็นคนชั่วเสียแล้วหรือ ? เธอนิ่งเสีย แม้พระเถระถามซ้ำก็ไม่พูดอะไร ๆ. 

 [พระเถระไม่ยอมให้สามเณรคบ]

 ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเธอว่า ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี. เธอถึงซึ่งความสังเวชแล้วเปลื้องผ้ากาสายะเสียแล้ว นุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์พูดว่า ท่านผู้เจริญเมื่อก่อน กระผมเป็นสามเณร แต่เดี๋ยวนี้กระผมกลับเป็นคฤหัสถ์แล้ว, อนึ่ง กระผมเมื่อบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพราะกลัวแต่อันตรายในหนทางของท่านมาไปด้วยกันเถิด. พระเถระพูดว่า ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่วทั้งนั้น, เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นสมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณเพียงแต่ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์ จักทำความดีงามชื่ออะไรได้, ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี. นายปาลิตะตอบว่า ท่านผู้เจริญ หนทางมีอมนุษย์ชุมและท่านก็เสียจักษุ จักอยู่ในที่นี้อย่างไรได้. ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเขาว่า ผู้มีอายุ เธออย่างได้คิดอย่างนั้นเลย, เราจะนอนตายอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี จะนอนกลิกกลับไปกลับมา ณ ที่นี้ก็ดี ขึ้นชื่อว่าการไปกับเธอย่อมไม่มี (ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า 


"เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป, เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี. เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร จักตายเสีย จักไม่ไป, เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี"


นายปาลิตะ ได้ยินคำนั้นแล้ว เกิดความสังเวช นึกว่า เราทำกรรมหนัก เป็นไปโดยด่วน ไม่สมควรหนอ ดังนี้แล้ว กอดแขนคร่ำครวญ แล่นเข้าราวป่า ได้หลีกไป ด้วยประการนั้นแล. 

[อาสนะท้าวสักกะร้อน]

 ด้วยเดชแห่งศีลแม้ของพระเถระ (ในขณะนั้น) บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ ของท้าวสักกเทวราช ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์ หนา ๑๕ โยชน์ มีสีดุจดอกชัยพฤกษ์ มีปกติยุบลงในเวลาประทับและฟูขึ้นในเวลาเสด็จลุกขึ้น แสดงอาการร้อนแล้ว. ท้าวสักกเทวราช ทรงดำริว่า ใครหนอแล ใคร่จะยังเราให้เคลื่อนจากสถาน ดั่งนี้แล้ว ทรงเล็งลงมา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระด้วยทิพยจักษุ. เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า

"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่องทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระองค์นี้ติเตียนคนบาป ชำระเครื่องเลี้ยงชีพให้บริสุทธิ์แล้ว, ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่องทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระองค์นี้หนักในธรรม ยินดีในศาสนา นั่งอยู่แล้ว". 


ขณะนั้น ท้าวเธอได้ทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักไม่ไปสู่สำนักของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ติเตียนคนบาป หนักในธรรม เห็นปานนั้น, ศีรษะของเราพึงแตก ๗ เสี่ยง, เราจักไปสู่สำนักของท่าน, (ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไป). เหตุนั้น (พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า) 


"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทรงสิริของเทวราช เสด็จมาโดยขณะนั้นแล้ว เข้าไป ใกล้พระจักขุปาลเถระแล้ว". 


ก็และครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ทรงทำเสียงฝีพระบาทในที่ใกล้พระเถระ. ขณะนั้น พระเถระถามท้าวเธอว่า นั่นใคร ? เทวราชตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าคนเดินทาง เจ้าข้า . 

ถ. ท่านจะไปไหน อุบาสก

ท. เมืองสาวัตถี เจ้าข้า. 

ถ. ไปเถิด ท่านผู้มีอายุ. 

ท. ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า เจ้าข้า จักไปไหน ?

ถ. ถึงเราก็จักไปในที่นั้นเหมือนกัน. 

ท. ถ้าอย่างนั้น เราทั้งหลายไปด้วยกันเถิด เจ้าข้า. 

ถ. เราเป็นคนทุพพลภาพ, ความเนิ่นช้าจักมีแก่ท่านผู้ไปอยู่กับเรา. 

ท. กิจรีบของข้าพเจ้าไม่มี ถึงข้าพเจ้าไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าจักได้บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ สักประการหนึ่ง เราทั้งหลานไปด้วยกันเถอะเจ้าข้า. พระเถระคิดว่า นั่นจักเป็นสัตบุรุษ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจับปลายไม้เท้าเข้าถือ อุบาสก. 

[ท้าวสักกเทวราช พาพระเถระไปถึงพระเชตวัน]

 ท้างสักกเทวราช ทรงทำอย่างนั้นแล้ว ย่อพื้นปฐพีให้ถึงพระเชตวันในเพลาเย็น. พระเถระได้ฟังเสียงเครื่องประโคมมีสังข์และบัณเฑาะว์เป็นต้นแล้ว ถามว่า นั่น เสียงที่ไหน ?

ท. ในเมืองสาวัตถี เจ้าข้า. 

ถ. ในเวลาไป เราไปโดยกาลช้าแล้ว. 

ท. ข้าพเจ้ารู้ทางตรง เจ้าข้า. ในขณะนั้น พระเถระกำหนดได้ว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์ จักเป็นเทวดา. (เหตุนั้น พระโบราณจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า) 


"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดาทรงสิริของเทวราช ย่นทางนั้น พลันเสด็จมาถึงเมืองสาวัตถีแล้ว". 


ท้าวเธอนำพระเถระไปสู่บรรณศาลา ที่กุฎุมพีผู้น้องชายทำเพื่อประโยชน์แก่พระเถระนั่นเทียว นิมนต์ให้นั่งเหนือแผ่นกระดานแล้วจำแลงเป็นสหายที่รักไปสู่สำนักของกุฎุมพีจุลปาละ ตรัสร้องเรียกว่าแน่ะปาละผู้สหาย. กุฎีมพีจุลปาละร้องถามว่า อะไร ? สหาย. 

ท. ท่านรู้ความที่พระเถระมาแล้วหรือ ?

จ. ข้าพเจ้ายังไม่รู้, ก็พระเถระมาแล้วหรือ ? เทวราชตรัสว่า เออ สหาย ข้าพเจ้าไปวิหาร เห็นพระเถระนั่งอยู่ในบรรณศาลาที่ท่านทำ มาแล้วเดี๋ยวนี้เอง ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป. ฝ่ายกุฎุมพีไปถึงวิหาร เห็นพระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่ที่บาทมูลกล่าวว่า ท่านผู้เจริญเจ้าข้า ข้าพเจ้าเห็นเหตุนี้แล้วจึงไม่ยอมให้ท่านบวช ดังนี้เป็นต้นแล้ว ทำเด็กทาส ๒ คนให้เป็นไทยให้บวชในสำนักของพระเถระแล้ว สั่งว่า ท่านทั้งหลาย จงนำเอาของฉันมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น มาจากภายในบ้านอุปัฏฐากพระเถระ ดังนี้แล้ว มอบให้แล้ว. สามเถรทั้งหลาย ก็ทำวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระเถระแล้ว. ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในทิศ (ผู้อยู่ที่อื่น) มาสู่พระเชตวัน ด้วยหวังว่า จักเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาเยี่ยมพระอสีติมหาเถระแล้ว เที่ยวจาริกอยู่ในวิหาร ถึงที่อยู่ของ พระจักขุปาลเถระแล้ว มีหน้าตรงต่อที่นั้นในเวลาเย็น ด้วยหวังว่า จักดูแม้ที่นี้. ในขณะนั้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว พวกเธอคิดว่า เดี๋ยวนี้เย็นแล้ว, และเมฆก็ตั้งขึ้นแล้ว, เราจักมาดูแต่เช้าเที่ยว ดังนี้แล้วกลับไป. ฝนตกในปฐมยาม หยุดในมัชฌิมยาม. พระเถระเป็นผู้(เคย)ปรารภความเพียร เดินจงกรมเป็นอาจิณ, เหตุฉะนั้น จึงลงสู่ที่กรมแล้วในปัจฉิมยาม. แลในกาลนั้น ตัวแมลงค่อมทอง (หรือแมลงเม่า)เป็นอันมาก ตั้งขึ้นแล้ว บนพื้นที่ฝนตกใหม่. ตัวเหล่านั้น เมื่อพระเถระจงกรมอยู่ ได้วิบัติ (ตาย) โดยมาก. พวกอันเตวาสิก ยังไม่ทันกวาดที่จงกรมของพระเถระ แต่เช้าตรู่. ฝ่ายพระพวกภิกษุนอกนี้ มาด้วยหวังว่า จักดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นสัตว์ทั้งหลายในที่จงกรมแล้ว ถามว่า ใครจงกรมในที่นี้. พวกอันเตวาสิกของพระเถระตอบว่า อุปัชฌาย์ของพวกกระผมขอรับ. เธอทั้งหลายติเตียนว่า ท่านทั้งหลายดูกรรมของสมณะเถิด ในกาลมีจักษุท่านนอนหลับเสีย ไม่ทำอะไร, ในกาลมีจักษุวิกลเดี๋ยวนี้ไว้ตัวว่า จงกรม ทำสัตว์มีประมาณถึงเท่านี้ให้ตายแล้ว ท่านคิดว่าจักทำประโยชน์ กลับทำการหาประโยชน์มิได้. พวกเธอไปกราบทูลพระตถาคตแล้วในขณะนั้นว่า พระเจ้าข้าพระจักขุปาลเถระ ไว้ตัวว่า จงกรม ทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้ว. พระศาสดาตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายเห็นเธอกำลังทำสัตว์มี ชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้วหรือ ? ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า. 

ศ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นเธอ (ทำดังนี้) ฉันใดแล ถึงเธอก็ไม่เห็นสัตว์มีชีวิตเหล่านั้น ฉันนั้น, ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย (คือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว)มิได้มี. 

ภ. พระเจ้าข้า เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัตมีอยู่ เหตุไฉนท่านจึงกลายเป็นคนมีจักษุมืดแล้ว. 

ศ. ด้วยอำนาจกรรมอันตนทำไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย

ภ. ก็ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้แล้ว พระเจ้าข้า. 

[บุรพกรรมของพระจักขุปาลเถระ]

พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงฟัง ดังนี้แล้ว (ตรัสเล่าเรื่องว่า) ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพาราณสี ดำรงราชย์อยู่ในกรุงพาราณสี หมอผู้หนึ่งเที่ยวทำเวชกรรมอยู่ในบ้างและนิคม เห็นหญิงทุรพลด้วยจักษุคนหนึ่ง จึงถามว่า ความไม่ผาสุกของท่านเป็นอย่างไร ? หญิงนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าไม่แลเห็นด้วยดวงตา. หมอกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทำยาให้แก่ท่าน

ญ. ทำเถิด นาย. 

ม. ท่านจักให้อะไรแก่ข้าพเจ้า?

ญ. ถ้าท่านอาจกระทำดวงตาของข้าพเจ้ากลับเป็นปกติได้, ข้าพเจ้ากับบุตรและธิดา จักยอมเป็นทาสีของท่าน. 

ม. รับว่า ดีละ ดังนี้แล้ว ประกอบยาให้แล้ว. ดวงตากลับเป็นปกติ ด้วยยาขนานเดียวเท่านั้น. หญิงนั้นคิดแล้วว่า เราได้ปฏิญญาแก่หมอนั่นไว้ว่า จักพร้อมด้วยบุตรธิดา ยอมเป็นทาสีของเขา ก็แต่เขาจักไม่เรียกเราด้วยวาจาอันอ่อนหวาน เราจักลวงเขา. นางอันหมอมาแล้ว ถามว่า เป็นอย่างไร ? นางผู้เจริญ ตอบว่า เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้าปวดน้อย เดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน. หมอคิดว่า หญิงนี้ประสงค์ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร ความต้องการของเราด้วยค่าจ้างที่หญิงนี้ให้แก่เรามิได้มี, เราจักทำให้จักษุมืดเสียเดี๋ยวนี้แล้วไปถึงเรือนบอกความนั้นแก่ภรรยา. เขาได้นิ่งเสีย. หมอนั้นประกอบยาขนานหนึ่งแล้วไปสู่สำนักหญิงนั้น บอกให้หยอดว่า นางผู้เจริญ ขอท่านจงหยอดยาขนานนี้. ดวงตาทั้ง ๒ ข้าง ได้ดับวูบแล้วเหมือนเปลวไฟ. หมอนั้นได้ (มาเกิด) เป็นจักขุปาลภิกษุแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำแล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลัง ๆ, จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ ย่อมตามผู้ทำไป เหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัท(คือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า) ตัวเข็นธุระไปอยู่ ครั้นตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ได้ตรัสพระคาถานี้สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว ด้วยพระราชลัญจกรว่า :- 


"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จและด้วยใจ, 

ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี, 

ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น, 

ดุจล้อมหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ ฉะนั้น". 


[แก้อรรถ]

 จิตที่เป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งหมด ต่างโดยจิตมีกามาวจรกุศลจิตเป็นต้น ชื่อว่า มโน ในพระคาถานั้น, ถึงอย่างนั้น ในบทนี้เมื่อนิยมกะ กำหนดลง ด้วยอำนาจจิตที่เกิดขึ้นแก่หมอนั้นในคราวนั้นย่อมได้จำเพาะจิต ที่เป็นไปกับด้วยโทมนัส ประกอบด้วยปฏิฆะ(อย่างเดียว). 

บทว่า ปุพฺพงฺคมา คือ ชื่อว่า มาตามพร้อมด้วยจิตนั้น อันเป็นหัวหน้าไปก่อน. 

บทว่า ธมฺมา คือ ชื่อว่า ธรรมเป็น ๔ อย่าง ด้วยอำนาจคุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม และนิสสัตตนิชชีวธรรม. ในธรรม ๔ ประการนั้น ธรรมศัพท์นี้ในคำว่า ธรรมและอธรรม ๒ ประการ ให้ผลเหมือนกัน หามิได้ อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อม ให้ถึงสุคติ. ดังนี้ ชื่อว่าคุณธรรม (แปลว่าธรรมคือคุณ). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมงามเบื้องต้น แก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าเทศนาธรรม (แปลว่าธรรมคือเทศนา)ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่า ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง กุลบุตรบางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเรียนธรรม คือสุตตะ เคยยะ ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่าปริยัติธรรม (แปลว่าธรรมคือปริยัติ). ธรรมศัพท์นี้ ในคำว่าก็สมัยนั้นแล ธรรมทั้งหลายย่อมมี ขันธ์ทั้งหลายย่อมมี ดังนี้เป็นต้น ชื่อว่านิสสัตตธรรม (แปลว่าธรรมคือสภาพที่มิใช่สัตว์)นัยแม้ในบทว่า นิชชีวธรรม (ซึ่งแปลว่าธรรมคือสภาพมิใช่ชีวิต)ก็ดุจเดียวกัน. 

ในธรรม ๔ ประการนั้น นิสสัตตธรรมหรือนิชชีธรรมพระศาสดาทรงประสงค์แล้วในที่นี้. นิสสัตตธรรมหรือนิชชีวธรรมนั้น โดยความก็อรูปขันธ์ ๓ ประการ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, เหตุว่าอรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น ชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า เพราะใจเป็นหัวหน้าของอรูปขันธ์ ๓ ประการนั่น. มีคำถามว่า ก็ใจ มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิดในขณะเดียวกัน พร้อมกับธรรมเหล่านั้น ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากันชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้นอย่างไร ? มีคำแก้ว่า ใจ ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมเหล่านั้น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้น. เหมือนอย่างว่า เมื่อพวกโจรเป็นอันมาก ทำโจรกรรมมีปล้นบ้านเป็นต้นอยู่ด้วยกัน เมื่อมีใครถามว่า ใครเป็นหัวหน้าของพวกมัน ? ผู้ใดเป็นปัจจัยของพวก มัน คืออาศัยอยู่ใดจึงทำกรรมนั้นได้ ผู้นั้นชื่อทัตตะก็ตาม ชื่อ มัตตะก็ตาม เขาเรียกว่าหัวหน้าของมัน ฉันใด, คำอุปไมยซึ่งเป็นเครื่องให้อรรถถึงพร้อมนี้ บัณฑิตพึงรู้แจ้ง ฉันนั้น. ใจชื่อว่าเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยเครื่องยังธรรมให้เกิดขึ้นฉะนี้ เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่น จึงชื่อว่ามีใจเป็นหัวหน้า, เพราะเมื่อใจไม่เกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้. 

ฝ่ายใจ ถึงเจตสิกธรรมบางเหล่าแม้ไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แท้. อนึ่ง ใจชื่อว่าเป็นใหญ่ของธรรมทั้งหลายนั่น ด้วยอำนาจเป็นอธิบดี เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายนั่นจึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่ เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายมีโจรผู้เป็นหัวโจกเป็นต้น ผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของชนทั้งหลายมีโจรเป็นต้น ฉันใด, ใจผู้เป็นอธิบดี ได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ของธรรมเหล่านั้นฉันนั้น, เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่ามีใจเป็นใหญ่. อนึ่งสิ่งทั้งหลายนั้น ๆ เสร็จแล้วด้วยวัตถุมีไม้เป็นต้น ก็ชื่อว่าของสำเร็จแล้วด้วยไม้เป็นต้น ฉันใด, แม้ธรรมทั้งหลายนั่น ได้ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยใจ เพราะเสร็จมาแต่ใจ ฉันนั้น. 

บทว่า ปทุฏฺเน คือ อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้นซึ่งจรมาประทุษร้ายแล้ว. จริงอยู่ ใจปกติชื่อว่าภวังคจิต, ภวังคจิตนั้นไม่ต้องโทษประทุษร้ายแล้ว. เหมือนอย่างว่า น้ำใสเศร้าหมองแล้วเพราะสีทั้งหลายมีสีเขียวเป็นต้นซึ่งจรมา (กลับ) เป็นน้ำต่างโดยประเภทมีน้ำเขียวเป็นต้น จะชื่อว่าน้ำใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าน้ำใสตามเดิมนั่นแลก็ใช่ ฉันใด, ภวังคจิตแม้นั้น อันโทษมีอภิชฌาเป็นต้น ที่จรมาประทุษร้ายแล้ว จะชื่อว่าจิตใหม่ก็มิใช่ จะชื่อว่าภวังคจิต ตามเดิมนั่นแลก็มิใช่ ฉันนั้น, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่มันเศร้าหมองแล้ว เหตุอุปกิเลสทั้งหลายซึ่งจรมาแล ดังนี้. ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้วอย่างนี้. บาทคาถาว่า ภาสติ วา กโรติ วา คือ เขาเมื่อพูดเฉพาะแต่วจีทุจริต ๔ อย่าง. เมื่อทำ ย่อมทำ เฉพาะแต่กายทุจริต ๓ อย่าง, เมื่อไม่พูด เมื่อไม่ทำ เพราะความที่ตัวเป็นผู้มีใจอันโทษมีอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้ายแล้วนั้น ย่อมทำมโนทุจริต ๓ อย่างให้เต็ม. อกุศลกรรมบถ ๑๐ อย่างของเขา ย่อมถึงความเต็มที่ ด้วยประการอย่างนี้.

บาทพระคาถาว่า ตโต น ทุกฺขมเนฺวติ ความว่า ทุกข์ย่อมตามบุคคลนั้นไป เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น คือว่า ทุกข์ที่เป็นผลทั้งเป็นไปในกาย ทั้งเป็นไปในจิต โดยบรรยายนี้ว่า ทุกข์มีกายเป็นที่ตั้งบ้าง ทุกข์มีจิตนอกนี้เป็นที่ตั้งบ้าง ย่อมไปตามอัตภาพนั้น ผู้ไปอยู่ในอบาย ๔ ก็ดี ในหมู่มนุษย์ก็ดี เพราะอานุภาพแห่งทุจริต. มีคำถามว่า ทุกข์ย่อมติดตามบุคคลนั้นเหมือนอะไร ? มีคำแก้ว่า เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัทไปอยู่ อธิบายว่า เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าของโคพลิพัทอันเขาเทียมไว้ที่แอก นำแอกไปอยู่ เหมือนอย่างว่า มันลากไปวันหนึ่งก็ดี สองวันก็ดี ห้าวันก็ดี สิบวันก็ดี กึ่งเดือนก็ดีย่อมไม่อาจให้ล้อหมุนกลับ คือ ไม่อาจละล้อไปได้, โดยที่แท้เมื่อ มันก้าวไปข้างหน้า แอกก็เบียดคอ (ของมัน), เมื่อมันถอยหลัง ล้อก็ขูดเนื้อที่ขา, ล้อเบียดเบียนด้วยเหตุ ๒ ประการนี้ หมุนตามรอยเท้าของมันไป ฉันใด ทุกข์ทั้งที่เป็นไปทางกาย ทั้งที่เป็นไปทางจิต อันมีทุจริตเป็นมูล ย่อมติดตามบุคคลผู้มีใจร้ายแล้วทำทุจริต ๓ ประการให้เต็มที่อยู่ ในที่เขาไปแล้วนั้น ๆ มีนรกเป็นต้น ฉันนั้นแล.

ในกาลจบคาถา ภิกษุสามพันรูป ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์มีผลแม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล. 

เรื่องพระจักขุปาลเถระ จบ.


 

Keine Kommentare: