๕๐. แกล้งเป็นเห็นธรรม
จกฺขุมาสฺส ยถา อนฺโธ, โสตวา พธิโร ยถา;
ปญฺญาวาปิ ยถา มูโค, พลวา ทุพฺพโลริว;
อถ อตฺเถ สมุปฺปนฺเน, สเยยฺย มตสายิตํ.
มีตาก็พึงเป็นเหมือนคนบอด,
มีหูก็พึงเป็นเหมือนคนหนวก;
มีปัญญาก็พึงเป็นเหมือนคนใบ้,
มีกำลังก็พึงเป็นเหมือนคนทุรพล;
แต่เมื่อประโยชน์เกิดขึ้น,
ถึงนอนอยู่ในเวลาใกล้ตาย ก็ยังทำประโยชน์นั้นได้.
(ธรรมนีติ ปัญญากถา ๕๐, มหารหนีติ ๖๑, กวิทัปปณนีติ ๑๑๓, ขุ. เถร. ๒๖/๓๖๖ อัฏฐกนิบาต มหากัจจายนเถระ)
--
ศัพท์น่ารู้ :
จกฺขุมาสฺส ตัดบทเป็น จกฺขุมา+อสฺส (คนมีตา+พึงเป็น), = จกฺขุมนฺตุ+สิ วิ. จกฺขุ อสฺส อตฺถีติ จกฺขุมา (ดวงตาของเขา มีอยู่ เหตุนั้น เขา ชือว่า ผู้มีดวงตา) มาจาก จกฺขุ+มนฺตุ > จกฺขุมนฺตุ+สิ เป็นตทัสสัตถตัทธิต, ส่วนเ อสฺส เป็นกิริยาอาขยาต มาจาก √อส+อ+เอยฺย แปลง อส กับที่สุดธาตุเป็น สฺส ด้วยมหาสูตรว่า กฺวจิ ธาตุ ฯ. (รู ๔๘๘)
ยถา (เหมือน, ดุจ, ดัง) นิบาตบอกการเปรียบเทียบ
อนฺโธ (คนตาบอด) อนฺธ+สิ
โสตวา (คนมีหู) โสตวนฺตุ+สิ
พธิโร (คนหูหนวก) พธิร+สิ
ปญฺญวาสฺส ตัดบทเป็น ปญฺญวา+อสฺส (ผู้มีปัญญา+พึงเป็น), = ปญฺญนฺตุ+สิ วิ. ปญฺญา อสฺส อตฺถีติ จกฺขุมา (ปัญญาของเขา มีอยู่ เหตุนั้น เขา ชือว่า ผู้มีปัญญา) มาจาก ปญฺญา+วนฺตุ> ปญฺญวนฺตุ+สิ เป็นตทัสสัตถตัทธิต
มูโค (คนใบ้) มูค+สิ,
พลวา (ผู้มีกำลัง) พลวนฺตุ+สิ วิ. พลํ อสฺส อตฺถีติ พลวา (กำลังของเขามีอยู่ เหตุนั้น เขาจึงชื่อว่า พลวา) พล+วนฺตุ > พลวนฺตุ+สิ = พลวา.
ทุพฺพโลริว ตัดบทเป็น ทุพฺพโล+ร อาคม+อิว (เหมือนคนทุรพล, ดุจคนไม่มีแรง) ทุ+พล > ทุพฺพล+สิ, ส่วน อิว เป็นนิบาตบอกการเปรียบเทียบ
อถ (แต่, อนึง, ลำดับนั้น) เป็นนิบาตทำบทให้เต็ม หรือใช้ในอรรถการถามเป็นต้น
อตฺเถ (เมื่ออรรถ, ประโยชน์, เนื่อความ, ความต้องการ) อตฺถ+สฺมึ
สมุปฺปนฺเน (เกิดขึ้นแล้ว, ถึงพร้อมแล้ว) สํ+อุ+ปท+ต > สมุปฺปนฺน+สฺมึ,
สเยยฺย (พึงนอน) สิ+อ+เอถ วุทธิ อิ เป็น เอ ด้วยสูตรว่า อญฺเญสุ จ. (๔๓๔), แปลง เอ เป็น อย ด้วยสูตรว่า เอ อย. (รู ๔๙๑) ในพระบาฬีเป็น สเยถ.
มตสายิตํ (การนอนในเวลาใกล้ตาย, นอนรอความตาย) มตสายิต+อํ ลงทุติยาวิภัตติในอรรถกาลสัตตมีได้บ้าง ด้วยสูตรว่า ตติยาสตฺตมีนญฺจ. (รู ๒๙๐), ในพระบาฬีเป็น มตสายิกํ
ในอรรถกถาท่านอธิบายว่า ถ้าเรื่องที่ไม่มีประโยชน์เกิดขึ้น ให้แกล้งนอนเหมือนคนใกล้ตายได้ แต่ถ้าเรื่องที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้น ต้องรีบทำ รีบจัดการทันที ไม่ทำไม่ได้.
--
อีกสำนวนหนึ่งจาก โลกนีติไตรพากย์ ของ เสฐียรโกเศศ-นาคประทีป ท่านแปลไว้น่าฟัง ดังนี้
มีตาก็เหมือนอย่างตาบอด
มีหูก็เหมือนอย่างหูหนวก
มีปัญญาก็เหมือนอย่างคนใบ้
มีกำลังก็เหมือนหนึ่งหมดกำลัง
ก็เมื่อประโยชน์เกิดประจวบขึ้นแล้ว
ก็นอนแอ้งแม้งเหมือนคนตาย.
--
อีกสำนวนหนึ่ง จากราชนีติ ธรรมนีติ โดย นายทอง หงศ์ลดารมภ์ (มหากิม) ท่านแปลไว้น่าฟัง ดังนี้...
มีตาก็เหมือนตาบอด
มีหูก็เหมือนหูหนวก
มีปัญญาก็เหมือนคนใบ้
มีกำลังวังชาก็เหมือนหมดกำลัง
เมื่อมีธุระเกิดขึ้น ก็ต้องนอนเหมือนตาย.
--

Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen