๔. ปุปฺผวคฺโค
คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
๔๔.
โก อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ,
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ;
โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ,
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติฯ
ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้
พร้อมกับเทวโลก ใครจักเลือกสรรบทธรรมที่เราแสดงดีแล้ว
ดุจนายมาลาการผู้ฉลาด เลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น. (๔:๑)
๔๕.
เสโข ปฐวึ วิเชสฺสติ,
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ;
เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ,
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติฯ
พระเสขะจักรู้แจ้งแผ่นดิน พระเสขะจักรู้แจ้งยมโลกและ
มนุษยโลกนี้พร้อมกับเทวโลก พระเสขะจักเลือกสรรบทธรรมที่เรา
แสดงดีแล้ว ดุจนายมาลาการผู้ฉลาดเลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น. (๔:๒)
๔๖.
เผณูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา;
มรีจิธมฺมํ อภิสมฺพุธาโน;
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ;
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉฯ
ภิกษุทราบกายนี้ว่า เปรียบด้วยฟองน้ำ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ
กายนี้ว่ามีพยับแดดเป็นธรรม ตัดดอกไม้อันเป็นประธาน
ของมารแล้ว พึงไปสู่ที่ที่มัจจุราชไม่เห็น. (๔:๓)
๔๗.
ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ, พฺยาสตฺตมนสํ นรํ;
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว, มจฺจุ อาทาย คจฺฉติฯ
มัจจุย่อมจับนระผู้มีใจอันซ่านไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ
กำลังเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลายนั่นเทียวไป
เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดบ้านอันหลับแล้วไป ฉะนั้น. (๔:๔)
๔๘.
ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ, พฺยาสตฺตมนสํ นรํ;
อติตฺตํเยว กาเมสุ, อนฺตโก กุรุเต วสํฯ
มัจจุผู้ทำซึ่งที่สุด ย่อมทำนระผู้มีใจอันซ่าน
ไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ กำลังเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลาย
ไม่อิ่มแล้วในกามคุณนั่นแล ไว้ในอำนาจ. (๔:๕)
๔๙.
ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ, วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ;
ปเลติ รสมาทาย, เอวํ คาเม มุนี จเรฯ
ภมรไม่ยังดอกไม้อันมีสีให้ชอกช้ำ
ลิ้มเอาแต่รสแล้วย่อมบินไป แม้ฉันใด
มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น. (๔:๖)
๕๐.
น ปเรสํ วิโลมานิ, น ปเรสํ กตากตํ;
อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย, กตานิ อกตานิ จฯ
บุคคลไม่พึงใส่ใจคำแสลงหูของชนเหล่าอื่น
ไม่พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ของชนเหล่าอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้ว
และยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้น (๔:๗)
๕๑.
ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ, วณฺณวนฺตํ อคนฺธกํ;
เอวํ สุภาสิตา วาจา, อผลา โหติ อกุพฺพโตฯ
ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่นแม้ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ ฉันนั้น (๔:๘)
๕๒.
ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ, วณฺณวนฺตํ สุคนฺธกํ;
เอวํ สุภาสิตา วาจา, สผลา โหติ สุกุพฺพโตฯ
ดอกไม้งามมีสีมีกลิ่น แม้ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำดี ฉันนั้น. (๔:๙)
๕๓.
ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา, กยิรา มาลาคุเณ พหู;
เอวํ ชาเตน มจฺเจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํฯ
นายมาลาการพึงทำกลุ่มดอกไม้ให้มาก
แต่กองแห่งดอกไม้ แม้ฉันใด
สัตว์ [ผู้มีอันจะพึงตายเป็นสภาพ]
ผู้เกิดแล้ว พึงทำกุศลให้มาก ฉันนั้น (๔:๑๐)
๕๔.
น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ;
น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา;
สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ;
สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติฯ
กลิ่นดอกไม้ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ กลิ่นจันทน์หรือกฤษณา
และกะลำพัก ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษ
ย่อมฟุ้งทวนลมไปได้ เพราะสัตบุรุษฟุ้งไปทั่วทิศ (๔:๑๑)
๕๕.
จนฺทนํ ตครํ วาปิ, อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี;
เอเตสํ คนฺธชาตานํ, สีลคนฺโธ อนุตฺตโรฯ
กลิ่นคือศีลเป็นเยี่ยมกว่าคันธชาติ เหล่านี้
คือจันทน์ กฤษณา ดอกบัว และมะลิ (๔:๑๒)
๕๖.
อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ, ยฺวายํ ตครจนฺทนี;
โย จ สีลวตํ คนฺโธ, วาติ เทเวสุ อุตฺตโมฯ
กลิ่นกฤษณาและจันทน์นี้ เป็นกลิ่นมีประมาณน้อย
ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลายเป็นกลิ่นสูงสุด
ย่อมฟุ้งไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (๔:๑๓)
๕๗.
เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ, อปฺปมาทวิหารินํ;
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ, มาโร มคฺคํ น วินฺทติฯ
มารย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว
มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้พ้นวิเศษแล้ว
เพราะรู้โดยชอบ (๔:๑๔)
๕๘.
ยถา สงฺการธานสฺมึ, อุชฺฌิตสฺมึ มหาปเถ;
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ, สุจิคนฺธํ มโนรมํฯ
ดอกปทุมมีกลิ่นหอม พึงเกิดในกองแห่งหยากเยื่อ
อันเขาทิ้งแล้วในใกล้ทางใหญ่นั้น ย่อมเป็นที่รื่นรมย์ใจ
ฉันใด (๔:๑๕)
๕๙.
เอวํ สงฺการภูเตสุ, อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน;
อติโรจติ ปญฺญาย, สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโกฯ
ปุปฺผวคฺโค จตุตฺโถฯ
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปุถุชน
ทั้งหลายผู้เป็นเพียงดั่งกองหยากเยื่อ ย่อมไพโรจน์
ล่วงปุถุชนทั้งหลายผู้เป็นดังคนบอดด้วยปัญญา ฉันนั้น. (๔:๑๖)
จบปุปผวรรคที่ ๔
คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
๔๔.
โก อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ,
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ;
โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ,
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติฯ
ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้
พร้อมกับเทวโลก ใครจักเลือกสรรบทธรรมที่เราแสดงดีแล้ว
ดุจนายมาลาการผู้ฉลาด เลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น. (๔:๑)
๔๕.
เสโข ปฐวึ วิเชสฺสติ,
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ;
เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ,
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติฯ
พระเสขะจักรู้แจ้งแผ่นดิน พระเสขะจักรู้แจ้งยมโลกและ
มนุษยโลกนี้พร้อมกับเทวโลก พระเสขะจักเลือกสรรบทธรรมที่เรา
แสดงดีแล้ว ดุจนายมาลาการผู้ฉลาดเลือกสรรดอกไม้ ฉะนั้น. (๔:๒)
๔๖.
เผณูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา;
มรีจิธมฺมํ อภิสมฺพุธาโน;
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ;
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉฯ
ภิกษุทราบกายนี้ว่า เปรียบด้วยฟองน้ำ ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ
กายนี้ว่ามีพยับแดดเป็นธรรม ตัดดอกไม้อันเป็นประธาน
ของมารแล้ว พึงไปสู่ที่ที่มัจจุราชไม่เห็น. (๔:๓)
๔๗.
ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ, พฺยาสตฺตมนสํ นรํ;
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว, มจฺจุ อาทาย คจฺฉติฯ
มัจจุย่อมจับนระผู้มีใจอันซ่านไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ
กำลังเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลายนั่นเทียวไป
เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดบ้านอันหลับแล้วไป ฉะนั้น. (๔:๔)
๔๘.
ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ, พฺยาสตฺตมนสํ นรํ;
อติตฺตํเยว กาเมสุ, อนฺตโก กุรุเต วสํฯ
มัจจุผู้ทำซึ่งที่สุด ย่อมทำนระผู้มีใจอันซ่าน
ไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ กำลังเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลาย
ไม่อิ่มแล้วในกามคุณนั่นแล ไว้ในอำนาจ. (๔:๕)
๔๙.
ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ, วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ;
ปเลติ รสมาทาย, เอวํ คาเม มุนี จเรฯ
ภมรไม่ยังดอกไม้อันมีสีให้ชอกช้ำ
ลิ้มเอาแต่รสแล้วย่อมบินไป แม้ฉันใด
มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น. (๔:๖)
๕๐.
น ปเรสํ วิโลมานิ, น ปเรสํ กตากตํ;
อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย, กตานิ อกตานิ จฯ
บุคคลไม่พึงใส่ใจคำแสลงหูของชนเหล่าอื่น
ไม่พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ของชนเหล่าอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้ว
และยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้น (๔:๗)
๕๑.
ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ, วณฺณวนฺตํ อคนฺธกํ;
เอวํ สุภาสิตา วาจา, อผลา โหติ อกุพฺพโตฯ
ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่นแม้ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ ฉันนั้น (๔:๘)
๕๒.
ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ, วณฺณวนฺตํ สุคนฺธกํ;
เอวํ สุภาสิตา วาจา, สผลา โหติ สุกุพฺพโตฯ
ดอกไม้งามมีสีมีกลิ่น แม้ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำดี ฉันนั้น. (๔:๙)
๕๓.
ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา, กยิรา มาลาคุเณ พหู;
เอวํ ชาเตน มจฺเจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํฯ
นายมาลาการพึงทำกลุ่มดอกไม้ให้มาก
แต่กองแห่งดอกไม้ แม้ฉันใด
สัตว์ [ผู้มีอันจะพึงตายเป็นสภาพ]
ผู้เกิดแล้ว พึงทำกุศลให้มาก ฉันนั้น (๔:๑๐)
๕๔.
น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ;
น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา;
สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ;
สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติฯ
กลิ่นดอกไม้ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ กลิ่นจันทน์หรือกฤษณา
และกะลำพัก ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษ
ย่อมฟุ้งทวนลมไปได้ เพราะสัตบุรุษฟุ้งไปทั่วทิศ (๔:๑๑)
๕๕.
จนฺทนํ ตครํ วาปิ, อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี;
เอเตสํ คนฺธชาตานํ, สีลคนฺโธ อนุตฺตโรฯ
กลิ่นคือศีลเป็นเยี่ยมกว่าคันธชาติ เหล่านี้
คือจันทน์ กฤษณา ดอกบัว และมะลิ (๔:๑๒)
๕๖.
อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ, ยฺวายํ ตครจนฺทนี;
โย จ สีลวตํ คนฺโธ, วาติ เทเวสุ อุตฺตโมฯ
กลิ่นกฤษณาและจันทน์นี้ เป็นกลิ่นมีประมาณน้อย
ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลายเป็นกลิ่นสูงสุด
ย่อมฟุ้งไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย (๔:๑๓)
๕๗.
เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ, อปฺปมาทวิหารินํ;
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ, มาโร มคฺคํ น วินฺทติฯ
มารย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว
มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท ผู้พ้นวิเศษแล้ว
เพราะรู้โดยชอบ (๔:๑๔)
๕๘.
ยถา สงฺการธานสฺมึ, อุชฺฌิตสฺมึ มหาปเถ;
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ, สุจิคนฺธํ มโนรมํฯ
ดอกปทุมมีกลิ่นหอม พึงเกิดในกองแห่งหยากเยื่อ
อันเขาทิ้งแล้วในใกล้ทางใหญ่นั้น ย่อมเป็นที่รื่นรมย์ใจ
ฉันใด (๔:๑๕)
๕๙.
เอวํ สงฺการภูเตสุ, อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน;
อติโรจติ ปญฺญาย, สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโกฯ
ปุปฺผวคฺโค จตุตฺโถฯ
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปุถุชน
ทั้งหลายผู้เป็นเพียงดั่งกองหยากเยื่อ ย่อมไพโรจน์
ล่วงปุถุชนทั้งหลายผู้เป็นดังคนบอดด้วยปัญญา ฉันนั้น. (๔:๑๖)
จบปุปผวรรคที่ ๔
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen