๕.
พาลวคฺโค
คาถาธรรมบท
พาลวรรคที่ ๕
๖๐.
ทีฆา
ชาครโต รตฺติ,
ทีฆํ
สนฺตสฺส โยชนํ;
ทีโฆ
พาลาน สํสาโร,
สทฺธมฺมํ
อวิชานตํฯ
ราตรียาวแก่คนผู้ตื่นอยู่
โยชน์ยาวแก่คนผู้เมื่อยล้า
สงสารยาวแก่คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม.
(๕:๑)
๖๑.
จรญฺเจ
นาธิคจฺเฉยฺย,
เสยฺยํ
สทิสมตฺตโน;
เอกจริยํ
ทฬฺหํ กยิรา,
นตฺถิ
พาเล สหายตาฯ
ถ้าว่าบุคคลเมื่อเที่ยวไปไม่พึงประสบสหายประเสริฐกว่าตน
หรือสหายผู้เช่นด้วยตนไซร้
บุคคลนั้นพึงทำการเที่ยวไปผู้เดียวให้มั่น
เพราะว่าคุณเครื่องความเป็นสหาย
ย่อมไม่มีในคนพาล.
(๕:๒)
๖๒.
ปุตฺตา
มตฺถิ ธนมตฺถิ,
อิติ
พาโล วิหญฺญติ;
อตฺตา
หิ อตฺตโน นตฺถิ,
กุโต
ปุตฺตา กุโต ธนํฯ
คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า
บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่
ดังนี้
ตนนั่นแลย่อมไม่มีแก่ตน บุตรทั้งหลายจะมีมาแต่ที่ไหน ทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน. (๕:๓)
ตนนั่นแลย่อมไม่มีแก่ตน บุตรทั้งหลายจะมีมาแต่ที่ไหน ทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน. (๕:๓)
๖๓.
โย
พาโล มญฺญตี พาลฺยํ,
ปณฺฑิโต
วาปิ เตน โส;
พาโล
จ ปณฺฑิตมานี,
ส
เว พาโลติ วุจฺจติฯ
ผู้ใดเป็นพาลย่อมสำคัญความที่ตนเป็นพาลได้
ด้วยเหตุนั้น
ผู้นั้นยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง
ส่วนผู้ใดเป็นพาลมีความ
สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต
ผู้นั้นแลเรากล่าวว่าเป็นพาล.
(๕:๔)
๖๔.
ยาวชีวมฺปิ
เจ พาโล,
ปณฺฑิตํ
ปยิรุปาสติ;
น
โส ธมฺมํ วิชานาติ,
ทพฺพี
สูปรสํ ยถาฯ
ถ้าคนพาลเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตแม้ตลอดชีวิต
เขาย่อมไม่รู้แจ้งธรรมเหมือนทัพพีไม่รู้จักรสแกง
ฉะนั้น.
(๕:๕)
๖๕.
มุหุตฺตมปิ
เจ วิญฺญู,
ปณฺฑิตํ
ปยิรุปาสติ;
ขิปฺปํ
ธมฺมํ วิชานาติ,
ชิวฺหา
สูปรสํ ยถาฯ
ถ้าว่าวิญญูชนเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตแม้ครู่หนึ่ง
ท่านย่อมรู้ธรรมได้ฉับพลัน
เหมือนลิ้นรู้รสแกง ฉะนั้น
(๕:๖)
๖๖.
จรนฺติ
พาลา ทุมฺเมธา,
อมิตฺเตเนว
อตฺตนา;
กโรนฺตา
ปาปกํ กมฺมํ,
ยํ
โหติ กฏุกปฺผลํฯ
คนพาลมีปัญญาทราม
มีตนเหมือนข้าศึก
เที่ยวทำบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้อน
(๕:๗)
๖๗.
น
ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ,
ยํ
กตฺวา อนุตปฺปติ;
ยสฺส
อสฺสุมุโข โรทํ,
วิปากํ
ปฏิเสวติฯ
บุคคลทำกรรมใดแล้วย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี
บุคคลมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา
ร้องไห้อยู่
ย่อมเสพผลของกรรมใด
กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี (๕:๘)
๖๘.
ตญฺจ
กมฺมํ กตํ สาธุ,
ยํ
กตฺวา นานุตปฺปติ;
ยสฺส
ปตีโต สุมโน,
วิปากํ
ปฏิเสวติฯ
บุคคลทำกรรมใดแล้ว
ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง
กรรมนั้นแลทำแล้วเป็นดี
บุคคลอันปีติโสมนัสเข้าถึงแล้ว
[ด้วยกำลังแห่งปีติ]
[ด้วยกำลังแห่งโสมนัส]
ย่อมเสพผลแห่งกรรมใด
กรรมนั้นทำแล้วเป็นดี (๕:๙)
๖๙.
มธุวา
มญฺญตี พาโล,
ยาว
ปาปํ น ปจฺจติ;
ยทา
จ ปจฺจติ ปาปํ,
อถ
(พาโล)
ทุกฺขํ
นิคจฺฉติฯ
คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำหวาน
ตลอดกาลที่บาปยังไม่ให้ผล
แต่บาปให้ผลเมื่อใด
คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น
(๕:๑๐)
๗๐.
มาเส
มาเส กุสคฺเคน,
พาโล
ภุญฺเชถ โภชนํ;
น
โส สงฺขาตธมฺมานํ,
กลํ
อคฺฆติ โสฬสึฯ
คนพาลถึงบริโภคโภชนะด้วยปลายหญ้าคาทุกเดือนๆ
เขาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่
๑๖ ซึ่งจำแนกออกไปแล้ว ๑๖
หน
ของพระอริยบุคคลทั้งหลายผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว
(๕:๑๑)
๗๑.
น
หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ,
สชฺชุขีรํว
มุจฺจติ;
ฑหนฺตํ
พาลมนฺเวติ,
ภสฺมาจฺฉนฺโนว
ปาวโกฯ
ก็บาปกรรมบุคคลทำแล้วยังไม่แปรไป
เหมือนน้ำนมในวันนี้ยังไม่แปรไปฉะนั้น
บาปกรรมนั้นย่อมตามเผาคนพาล
เหมือนไฟอันเถ้าปกปิดแล้ว
ฉะนั้น (๕:๑๒)
๗๒.
ยาวเทว
อนตฺถาย,
ญตฺตํ
พาลสฺส ชายติ;
หนฺติ
พาลสฺส สุกฺกํสํ,
มุทฺธํ
อสฺส วิปาตยํฯ
ความรู้นั้นย่อมเกิดแก่คนพาลเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์อย่างเดียว
ความรู้
ยังปัญญาชื่อว่ามุทธาของเขาให้ฉิบหายตกไป
ย่อมฆ่าส่วนแห่งธรรมขาวของคนพาลเสีย.
(๕:๑๓)
๗๓.
อสนฺตํ
ภาวนมิจฺเฉยฺย,
ปุเรกฺขารญฺจ
ภิกฺขุสุ;
อาวาเสสุ
จ อิสฺสริยํ,
ปูชา
ปรกุเลสุ จฯ
ภิกษุผู้เป็นพาล
พึงปรารถนาความสรรเสริญอันไม่มีอยู่
ความห้อมล้อมในภิกษุทั้งหลาย
ความเป็นใหญ่ในอาวาส
และการบูชาในสกุลของชนเหล่าอื่น.
(๕:๑๔)
๗๔.
มเมว
กตมญฺญนฺตุ,
คิหี
ปพฺพชิตา อุโภ;
มเมว
อติวสา อสฺสุ,
กิจฺจากิจฺเจสุ
กิสฺมิจิ;
อิติ
พาลสฺส สงฺกปฺโป,
อิสฺสา
มาโน จ วฑฺฒติฯ
ความดำริย่อมบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุพาลว่า
คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่าย
จงสำคัญกรรมที่บุคคลทำแล้วว่า เพราะอาศัยเราผู้เดียว
คฤหัสถ์และบรรพชิตเหล่านั้นจงเป็นไปในอำนาจของเราผู้เดียว
ในบรรดากิจน้อยและกิจใหญ่ทั้งหลาย กิจอะไรๆ
อิจฉา [ความริษยา] มานะ [ความถือตัว] ย่อมเจริญแก่ภิกษุพาลนั้น (๕:๑๕)
จงสำคัญกรรมที่บุคคลทำแล้วว่า เพราะอาศัยเราผู้เดียว
คฤหัสถ์และบรรพชิตเหล่านั้นจงเป็นไปในอำนาจของเราผู้เดียว
ในบรรดากิจน้อยและกิจใหญ่ทั้งหลาย กิจอะไรๆ
อิจฉา [ความริษยา] มานะ [ความถือตัว] ย่อมเจริญแก่ภิกษุพาลนั้น (๕:๑๕)
๗๕.
อญฺญา
หิ ลาภูปนิสา,
อญฺญา
นิพฺพานคามินี;
เอวเมตํ
อภิญฺญาย,
ภิกฺขุ
พุทฺธสฺส สาวโก;
สกฺการํ
นาภินนฺเทยฺย,
วิเวกมนุพฺรูหเยฯ
พาลวคฺโค ปญฺจโมฯ
ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ยิ่งแล้ว
ซึ่งปฏิปทา ๒ อย่างนี้ว่า
ปฏิปทาอันเข้าอาศัยลาภเป็นอย่างหนึ่ง
ปฏิปทาอันเข้าอาศัยลาภเป็นอย่างหนึ่ง
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงนิพพานเป็นอย่างหนึ่ง
ดังนี้แล้ว
ไม่พึงเพลิดเพลินสักการะ
พึงพอกพูนวิเวกเนืองๆ.
(๕:๑๖)
จบพาลวรรคที่
๕
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen