Donnerstag, 11. April 2019

ปัญหาและเฉลย(ธรรม) นักธรรมชั้นเอก ปี 2543


ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง พ.. ๒๕๔๓
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๓
------------------------------
.
.๑ คำว่าโลก ในพระบาลีว่า “เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ฯปฯ” หมายถึงอะไร ?
.๒ พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?
ตอบ:
.๑ คำว่า โลก โดยตรงหมายถึงแผ่นดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อมหมายถึงหมู่สัตว์ผู้อยู่อาศัย
.๒ ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาดูให้รู้จักของจริง เพราะในโลกที่กล่าวนี้ย่อมมีพร้อมมูลบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่มีคุณและโทษ พระบรมศาสดาทรง ชักชวนให้มาดูโลก เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริง จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ

.
.๑ บุคคลเช่นไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ?
.๒ ผู้หมกอยู่ในโลกได้รับผลอย่างไร ?
ตอบ:

.๑ บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอัน ให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมกอยู่ในโลก
.๒ ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียง สามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้

.
.๑ นิพพิทาคืออะไร ?
.๒ ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?
ตอบ:
.๑ นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์
.๒ อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายใน ทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา

.
.๑ สังขาร ในอธิบายแห่งปฏิปทาของนิพพิทานั้น ได้แก่อะไร ?
.๒ จะพึงกำหนดรู้สังขารนั้นโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไร ?
ตอบ:
.๑ ได้แก่ สภาพอันธรรมดาแต่งขึ้น โดยตรงได้แก่เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันธรรมดาคุมกันเข้าเป็นกายกับใจ
.๒ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ
) ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา
) ด้วยแย้งต่ออัตตา
) ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
) ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป
) ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย

.
.๑ วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์อย่างไร ?
.๒ อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยหรือไม่ ? ถ้าจัดได้ จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ?
ตอบ:
.๑ ได้แก่ วิปฏิสารคือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา
ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย
.๒ อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน จัดเข้าในหมวดสหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน

.
.๑ สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร ?
.๒ คนที่มีจิตมักลืมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?
ตอบ:
.๑ สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิดกั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิด ครอบงำ จิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจิตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น
.๒ ควรเจริญอานาปานัสสติ เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต

.
.๑ สันติแปลว่าอะไร ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?
.๒ สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ?
ตอบ:
.๑ สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดำเนินคือ ปฏิบัติสงบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ ๕ มีสันติเป็นวิหารธรรม
.๒ สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ

.
.๑ ผู้จะเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกำหนดอะไร ?
.๒ เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน ?
ตอบ:
.๑ พึงกำหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ
.๒ ที่เรียกว่ามูลกัมมัฏฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดิมที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำอันตรายแก่พรหมจรรย์

.
.๑ เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?
.๒ อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?
ตอบ:
.๑ เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ๑ ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๑ เกิดสังเวชสลดใจ ๑ เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย
.๒ ความกำหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา

๑๐.
๑๐.๑ สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?
๑๐.๒ เมื่อจะเจริญกัมมัฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ:
๑๐.๑ ให้ผลต่างกันดังนี้
สมถะ ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูงทำให้เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้ ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์
๑๐.๒ พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด ในกัมมัฏฐานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ในที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน ๒ อย่างคือ
) สมถกัมมัฏฐาน
) วิปัสสนากัมมัฏฐาน
----------------------

Keine Kommentare: