ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์
ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๔๘
๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง
?
จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
? จงอธิบาย
๑. ได้แก่
เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ
ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา
ถ้าเพ่ง
กำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน
เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง
เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ
กำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน
เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง
เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ
๒. มหาภูตรูป
คือ อะไร ?
มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร
?
๒. คือ
รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน
อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่
ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป
อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป
อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ
๓.
พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา
คือทรงประพฤติอย่างไร ?
คือทรงประพฤติอย่างไร ?
๓. ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้
บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท
อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ
บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท
อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ
๔. ทิฏฐุปาทาน
และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร
?
๔. ทิฏฐุปาทาน
คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอำนาจหัวดื้อ
จนเป็นเหตุเถียงกัน
ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน
ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน
ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
๕. มัจจุมารได้แก่อะไร
?
ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร
?
๕. ได้แก่ความตาย
ฯ ชื่อว่าเป็นมาร
เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น
บุคคลย่อมหมด
โอกาสที่จะทำประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ
โอกาสที่จะทำประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ
๖. พระพุทธคุณบทว่า
“อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้
ไม่มีใครยิ่งกว่า” คำว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
ไม่มีใครยิ่งกว่า” คำว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
๖. หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา
แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ
แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร
?
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย
เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด
นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ
ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ
กิเลสที่ได้ชื่อว่า
สังโยชน์
เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้
ฯ
๘. ในวิมุตติ
๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ
อย่างไหนเป็นโลกุตระ ?
๘. ตทังควิมุตติ
และวิกขัมภนวิมุตติ
จัดเป็นโลกิยวิมุตติ ส่วน
สมุจเฉทวิมุตติ
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ
๙. พุทธภาษิตว่า
ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
แต่
ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุใด ?
ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุใด ?
๙. เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้
บางอย่างให้ผลในภพหน้า
หรือในภพต่อ ๆ ไป
ผู้ทำกรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา
ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่
เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น
เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่
ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา
ตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ
ผู้ทำกรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา
ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่
เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น
เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่
ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา
ตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ
๑๐. คำว่า
“วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร
?
ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง
เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง
ตามแต่ใครจะสมัครถือ
บัญญัติขึ้น
ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก
ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ
ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก
ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ
ผู้ออกข้อสอบ
|
:
|
๑.
|
พระราชปัญญาเมธี
|
วัดไตรมิตรวิทยาราม
|
|
|
๒.
|
พระศรีมงคลเมธี
|
วัดจันทน์กะพ้อ
|
ตรวจ/ปรับปรุง
|
:
|
|
สนามหลวงแผนกธรรม
|
|
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen