ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์
ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๔๘
๑. การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร
ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้
อย่างไร ? และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?
อย่างไร ? และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?
๑. แนะนำวิธีปฏิบัติไว้
๓ ประการ คือ
๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ
ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง
ดมกลิ่น
ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ
คือ อสุภะและกายคตาสติ
หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ
หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ
๓. เจริญวิปัสสนา
คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์
สันนิษฐานเห็น
เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้
ประการที่
๑ จัดเข้าในสีลสิกขา
ประการที่
๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา
ประการที่
๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา
ฯ
๒. อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย
จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง
?
๒. ๑.
กำหนดรู้ในทางง่าย
ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
และความสิ้นในเบื้องปลาย
ได้ในบาลีว่า
อนิจฺจา
วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา
นิรุชฺฌนฺติ
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น
เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ
ได้ในบาลีว่า
ได้ในบาลีว่า
อจฺเจนฺติ
กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
วโยคุณา
อนุปุพฺพํ ชหนฺติ
กาลย่อมล่วงไป
ราตรีย่อมผ่านไป
ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป
๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม
ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง
ๆ คือ ไม่คงที่
อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า
อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า
ชีวิตํ
อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา
จ เกวลา
เอกจิตฺตสมา
ยุตฺตา ลหุโส
วตฺตเต ขโณ
ชีวิต
อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล
ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอ
ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ
ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ
๓. สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์
คือทุกข์เช่นไร ?
๓. สภาวทุกข์
คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่
ชาติ ชรา มรณะ ฯ
ปกิณณกทุกข์
คือ ทุกข์จรได้แก่
โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาส ฯ
๔. พระพุทธพจน์ว่า
“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ”
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
จะไม่เป็น
การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ? จงอธิบาย
การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ? จงอธิบาย
๔. ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว
เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์
๔ อย่างไว้เป็นต้น
แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข
ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย
ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ
แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข
ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย
ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ
๕. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร
?
ปัจจุบันภพนั้น
เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ
อย่างไร ?
อย่างไร ?
๕. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น
๒ คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย
วาจา ใจ
ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ จิตดีชั่ว
ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า
ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี
แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง
แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ จิตดีชั่ว
ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า
ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี
แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง
แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
๖. บุคคลผู้ถูกนิวรณ์
๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง
?
๖. ถูกกามฉันทะครอบงำ
พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ
ถูกพยาบาทครอบงำ
พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร
ถูกถีนมิทธะครอบงำ
พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน
ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ
พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ
ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ
พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ฯ
๗. ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร
ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น
มีความมุ่งหมายอย่างไร ?
๗. มีความมุ่งหมายอย่างนี้
ให้ทำตนเป็นพยานว่า
ตนนี้อยากได้แต่ความสุข
เกลียดชัง
ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย
ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข
ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ
ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย
ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข
ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ
๘. พระพุทธคุณบทว่า
“สตฺถา เทวมนุสฺสานํ”
เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วน
ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?
ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?
๘. ประมวลลงได้อย่างนี้
๑. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน
ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์
๒. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง
๓.
ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน
๔.
ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน
ฯ
๙. ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้
ด้วยอาการอย่างไร ?
ด้วยอาการอย่างไร ?
๙. ด้วยอาการอย่างนี้
คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์
มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่
ณ ภายในจิตของเรา เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ
ณ ภายในจิตของเรา เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ
๑๐. ข้อว่า
อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร
ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็น
อนัตตา ?
อนัตตา ?
๑๐. ทรงให้ยกอายตนะภายใน
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และอายตนะภายนอก
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ
ผู้ออกข้อสอบ
|
:
|
๑.
|
พระธรรมธีรราชมหามุนี
|
วัดปากน้ำ
|
|
|
๒.
|
พระราชนันทมุนี
|
วัดละหาร
|
|
|
๓.
|
พระราชวิจิตรปฏิภาณ
|
วัดสุทัศนเทพวราราม
|
ตรวจ/ปรับปรุง
|
:
|
|
สนามหลวงแผนกธรรม
|
|
Keine Kommentare:
Kommentar veröffentlichen