Mittwoch, 3. April 2019

ปัญหาและเฉลย(วิชาธรรม) นักธรรมชั้นเอก ปี 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ .. พฤศจิกายน .. ๒๕๔๖
-------------------------------------
.
บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า เย จิตฺตํ สญฺเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร
.
คำว่า บ่วงแห่งมาร ได้แก่อะไร ?
.
อาการสำรวมจิต คืออย่างไร ?
ตอบ:
.
ได้แก่วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ
.
อาการสำรวมจิตมี ประการ คือ
) สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดม กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
) มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุภและ กายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ
) เจริญวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐาน เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

.
.
นิพัทธทุกข์ หมายถึงทุกข์อย่างไร ?

.
ในทุกข์ ๑๐ อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร ?
ตอบ:
.
หมายถึง ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
.
จัดเป็นวิปากทุกข์

.
.
ในวิมุตติ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?
.
พระบาลีว่า ปญฺาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ:
.
ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ
.
มีอธิบายว่า บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่

.
เนื้อความในภารสูตรว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ถามว่า
.
คำว่า ภาระอันหนัก ได้แก่อะไร ?
.
การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร ?
ตอบ:
.
ได้แก่ ปัญจขันธ์
.
การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทาน

.
.
คติ คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร ?
.
มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น ว่าอย่างไร ?
ตอบ:
.
เป็น คือ ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี
.
มีบาลีแสดงอุทเทสว่า ดังนี้
) จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
) จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้

.
.
พระบรมศาสดาทรงชักนำบุคคลให้บำเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร ?
.
พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ:
.
เพราะทรงเห็นว่า จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง
.
ด้วยอาการ คือ
. สนฺทสฺสนา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด
. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม
. สมุตฺเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
. สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ

.
.
บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
.
นิวรณ์ อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?
ตอบ:
.
มี ประเภท คือ
คนราคจริต
คนโทสจริต
คนโมหจริต
คนสัทธาจริต
คนพุทธิจริต
คนวิตักกจริต
.
กามฉันท์ สงเคราะห์เข้าในราคจริต
พยาบาท สงเคราะห์เข้าในโทสจริต
ถีนมิทธะ สงเคราะห์เข้าในโมหจริต
อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต
วิจิกิจฉา สงเคราะห์เข้าในโมหจริต

.
.
ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
.
ธรรมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร ?
ตอบ:
.
หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้องเล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี
.
มีคุณโดยย่ออย่างนี้ ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ปฏิเวธธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด

.
.
ความกำหนดรู้อย่างไร จัดเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?
.
ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา พึงรู้ฐานะทั้ง ก่อน ฐานะทั้ง นั้น คืออะไรบ้าง ?
ตอบ:
.
ความกำหนดรู้ว่า สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา
.
ฐานะทั้ง คือ
อนิจจะ ของไม่เที่ยง
อนิจจลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง
ทุกขะ ของที่สัตว์ทนยาก
ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์
อนัตตา สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน
อนัตตลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา

๑๐.
๑๐.
พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก เพราะฟังธรรมอะไร ? ใครเป็นผู้แสดง ?
๑๐.
ข้อว่า สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺ ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง มีใจความว่าอย่างไร ?
ตอบ:
๑๐.
เพราะฟังคิริมานนทสูตร พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง
๑๐.
มีใจความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง


ผู้ออกข้อสอบ
:
. พระธรรมธีรราชมหามุนี
วัดปากน้ำ


. พระเทพวรคุณ
วัดป่าแสงอรุณ


. พระราชปริยัติกวี
วัดจุกเฌอ
ตรวจ/ปรับปรุง
:
สนามหลวงแผนกธรรม



Keine Kommentare: